ผมก็ทำงานประจำเหมือนกัน ชีวิตคนขายภาพไปทำงานประจำไป มันยากเข็ญแสนสาหัสเอาเรื่องอยู่ครับ เข้าใจดี
ถ้าใครอ่านหนังสือของผมทั้งสามเล่ม อ่านดูหน้า "ขอบคุณ" แล้วจะพอจับทางได้ว่า สิ่งที่ผมทำไปนั้น จะทำไม่ได้ขนาดนี้
ถ้าไม่ได้การสนับสนุนจากครอบครัว โดยเฉพาะภรรยาที่พร้อมจะเข้าใจผมทุกสิ่งทุกอย่าง
ผมเคยตอบอ้อม ๆ ไปบางกระทู้แล้วว่า ผมทำงานหนักขนาดไม่ใช่เล่น
วันนี้ไหน ๆ คุณโจก็เปิดประเด็นมาแล้ว ขอสาธยายให้ฟังอีกสักรอบก็แล้วกันนะครับ
เมื่อก่อนตอนเป็นหนุ่มโสด ผมก็ไม่ได้ขยันเอาเป็นเอาตายมากนัก แค่ระดับมาตรฐานคนที่รับผิดชอบในหน้าที่ทั่ว ๆ ไป
ซึ่งก็ไม่เดือดร้อนอะไรมาก ผมทำงานได้ดีพอประมาณ หนทางความเจริญก้าวหน้าในงานประจำก็เป็นตามที่มันควรจะเป็น
ผมไม่อนาทรร้อนใจอะไรกับอนาคต เพราะมันก็ดูสดใสดี
หลังจากแต่งงานมีลูกคนแรกใหม่ ๆ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมเจอปัญหาวิกฤตเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ หนักหนาสาหัส
ปัญหามาจากหลาย ๆ ด้าน ทั้งจากตัวเองและญาติพี่น้องที่เกี่ยวข้อง ผมแทบเอาตัวไม่รอด
ผมเล่าอย่างไม่อาย มีอยู่ปีหนึ่ง วันเกิดลูก ภรรยาผมต้องซื้อคัพเค้กชิ้นเล็ก ๆ มาเป่าให้ลูกชาย
แม้เราจะบอกลูกว่า เค้กชิ้นใหญ่ซื้อมาก็กินไม่หมด เลยซื้ออันเล็ก ๆ แต่เราก็รู้ดีว่า เหตุผลจริง ๆ อยู่ที่เราไม่ค่อยมีเงิน
เกือบสองปีที่เราไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านเลย
ผมชอบกินกาแฟ เคยกินกาแฟดี ๆ ทุกวัน ก็ลดเหลืออาทิตย์ละครั้งสองครั้ง
ขับรถไปต่างจังหวัด แทนที่จะแวะร้านกาแฟสด ก็แวะเซเว่น กินกาแฟเซเว่นแทน ก็อยู่ได้ รอดมาได้ ไม่ตาย
และอีกสารพัดสารพันแห่งความทุกข์และยากลำบากที่เล่าไม่หมด หรือ
เล่าไม่ได้ ใครที่เคยมีปัญหาการเงินคงจะรู้ดีว่า นรกมันมีจริงเห็น ๆ
ในวิกฤตมีโอกาสครับ อาจจะเป็นโชคดีที่ผมมีความคิดหรือมีนิสัยไม่มองหาเหตุผลที่จะยอมแพ้
แต่หาวิธีแก้ไขและเอาชนะ
และที่สำคัญ ภรรยาผม ยืนอยู่เคียงข้างผมทุกที่ทุกเวลา ทุกปัญหา
ภาพภรรยาและลูกวัยสามขวบยืนขายบัวลอยไข่หวานหน้าบ้านจนดึกดื่น
ลูกนั้นเขาไม่รู้อะไรหรอกครับ สนุกไปตามประสาเด็ก แต่ผู้ใหญ่อย่างเรา ไม่ได้ทำเอาสนุก เราทำเพื่อปากท้อง
ภาพภรรยานั่งตัดใบตอง กวนข้าวเหนียว นั่งห่อข้าวต้มมัด
และทำขนมสารพัดเท่าที่จะทำเป็น เพื่อหารายได้มาใช้จ่ายในครอบครัว
มันเจ็บหัวใจลูกผู้ชายตัวจริงอย่างผมเป็นที่สุด
จะถือว่าโชคดีก็ได้ ที่ในช่วงซึ่งกำลังแย่แบบสุด ๆ ผมบังเอิญได้มารู้จักการขายภาพออนไลน์พอดี
เมื่อผมคิดว่า ผมพบ "ทาง" ของตัวเองอย่างแน่นอนแล้ว หลังจากตกอยู่ในทุกข์หนักมาอย่างยาวนาน
สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ผมยืนยันไว้ ณ ที่นี้ว่า มันเป็นความจริงแท้แน่นอน
มันคือความ "บ้าคลั่ง" ของคนที่เคยได้ลิ้มรสความขมขื่นของคนมีปัญหาทางการเงินมาแล้ว
- ผมไม่ดูโทรทัศน์ทุกรายการ ทุกชนิดมาตลอดระยะเวลาเกือบ ห้าปี นับจากเริ่มขายภาพ ข่าวสารบ้านเมือง มาจากวิทยุในขณะขับรถเป็นหลัก และถ้าสนใจเรื่องอะไร ก็จะเข้าเว็บไซต์ข่าว อ่านเอาเป็นเรื่อง ๆ ไป แต่ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ว่าอยู่บ้าน หรืออยู่คนเดียวเวลาไปทำงานต่างจังหวัด ผมจะไม่เปิดโทรทัศน์เลย
- ผมใช้เวลากินข้าว มื้อละราวๆ 10 นาที ถ้าอยู่กรุงเทพฯ กับครอบครัว เราจะกินข้าวพร้อมกันเพียงสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเท่านั้น ส่วนใหญ่ภรรยาจะตักใส่จานให้ผมกินหน้าคอมฯ แต่ถ้าอยู่ต่างจังหวัด เมื่อกลับถึงโรงแรม เก้าสิบเก้ามื้อในหนึ่งร้อยมือ ผมจะสั่งอาหารมากินที่ห้อง ไม่เคยออกไปหาของกินข้างนอกเลย เพราะไม่อยากเสียเวลาขับรถ เสียเวลานั่งรอ กินในห้อง ทำงานไปเรื่อยๆ ได้ในระหว่างรออาหาร
- ผมไม่เที่ยวสถานบันเทิงทุกชนิดทุกประเภทอย่างเด็ดขาด ยกเว้น โรงหนัง แต่จะไปดูเฉพาะหนังที่ลูกชายอยากดู เดือนละเรื่องสองเรื่อง ไม่ดูคนเดียวเด็ดขาด
- ผมไม่เสียเวลากับการดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ผมไม่เชื่อเรื่องกินเหล้าเพื่อเข้าสังคม (แต่ไม่ได้ว่าอะไรถ้าเพื่อนหรือคนอื่น ๆ ชอบจะทำ เป็นสิทธิอันสมบูรณ์ของแต่ละคนครับ ทุกวันนี้เพื่อนสนิทๆ กันก็มีไม่น้อยที่ยังเที่ยวยังดื่มตามความพอใจของเขา ไม่เกี่ยวกัน) ถ้าเพื่อนบางคนจะเลิกคบผมเพราะผมไม่เคยกินเหล้าหรือเที่ยวสนุกกับเขา ผมก็ยินดี แต่ผมคิดว่าผมมีเพื่อนดี ๆ ไม่น้อย หัวหน้าผมเมื่อก่อนชอบดื่ม ชอบเที่ยวกลางคืน แต่ผมก็ก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ โดยที่ประกาศตัวชัดเจนว่า ไม่ดื่ม และไม่เคยไปเมากับเจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน
- ผมโชคดีที่ภรรยาเป็นคนชอบทำอาหารกินเอง ไม่ชอบกินข้าวนอกบ้าน ชวนไปกินก็ไม่ชอบไป ร้านอาหารนอกบ้านร้านประจำคือ แมคโดนัลด์ กับ เคเอฟซี เพราะลูกชอบกิน เราจะกินกันอาทิตย์ละครั้ง หรือนานๆ ครั้ง นอกจากนั้น จะไม่มีร้านอาหารร้านไหนได้เงินและเวลาจากครอบครัวผมเลย ยกเว้นโอกาสพิเศษปีละครั้งสองครั้ง หรือไม่ก็งานรวมญาตินาน ๆ ครั้ง
ชีวิตผมแบ่งออกเป็นสองช่วง หนึ่งเดือน ผมจะอยู่บ้านครึ่งเดือน ออกต่างจังหวัดครึ่งเดือน
ถ้าอยู่บ้านที่กรุงเทพฯผมตื่นนอนก่อนหกโมงเช้า มีเวลาครึ่งชั่วโมง Submit ภาพที่อัปไปค้างไว้ในไมโครสต็อกต่าง ๆ บางทีก็ตอบคำถามในเว็บบอร์ดและเฟซบุ๊ค
ความลับที่ผมไม่เคยบอกใครก็คือ ถ้าคุณเห็นคำตอบกระทู้ในช่วงราว ๆ หกโมงเช้า กระทู้นั้นอาจจะถูกตอบบนชักโครก
ดูไม่สุภาพ และมันคือเรื่่องจริง เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าเสมอ
เจ็ดโมงเช้าออกจากบ้าน ถ้ารถไม่ติด ครึ่งชั่วโมงถึงที่ทำงาน มีเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ตอบกระทู้บ้าง Submit ภาพบ้าง
ถ้าใครสังเกตดี ๆ จะเห็นว่า ผมแทบจะไม่เคยตอบกระทู้หรือเฟซบุ๊คในเวลา 08.00 - 17.00 เลย
เป็นวินัยที่ทำมาโดยตลอด จอคอมของผมในที่ทำงาน จะอยู่ในจุดที่น้อง ๆ หรือเพื่อน ๆ สามารถมองเห็นได้
ผมจะต้องโปร่งใส ไม่ให้มีข้อครหา ทำงานส่วนตัวในเวลางานหลัก ซึ่งที่ผ่านมา ก็คิดว่า ทำได้ดีพอสมควร (อาจจะมีแว้บๆ บ้างถ้าว่างๆจริงๆ)
ตอนเย็น กลับถึงบ้านประมาณก่อนหกโมง เข้าครัวกินข้าว ไม่เกินสิบนาที นาน ๆ จะเกินสิบนาทีสักครั้ง
ผมกินข้าวเร็วแบบที่หลาย ๆ คนตกใจ ก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ คนอื่นยังเป่าปู๊ดๆ อยู่เลย หันมาอีกทีผมกินหมดชามแล้ว
กินข้าวเสร็จสอนการบ้านลูก ท่องศัพท์กับลูก เสร็จแล้วก็เล่นอะไรที่ลูกอยากเล่น ตอนนี้จะสนุกเต็มที่ ไม่มีการทำงาน
ก่อนสามทุ่มนิดหน่อย ผมก็ออกจากห้องลูก อาบน้ำ เข้าห้องแม่ เอ๊ย เข้าห้องทำงาน ปล่อยให้ภรรยาจัดการพอลูกนอนเอง
ถ้าไม่ป่วย หรือมีนัดตอนเช้ามาก ๆ ผมไม่เคยนอนก่อนเที่ยงคืน ผมมีโชคดีอย่างหนึ่ง คือนอนน้อยแล้วไม่ค่อยเพลีย ติดมาตั้งแต่ตอนบวชแล้วครับ
เท่ากับว่า วันจันทร์ถึงเสาร์ ผมมีเวลาโดยปกติประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงทุกวัน และเป็นเวลาสำหรับ "งาน" อย่างแท้จริง
วันอาทิตย์ ช่วงก่อนเที่ยง ผมจะมีเวลาตั้งแต่ตื่นนอนถึงเที่ยง เป็นเวลาทำงาน ตื่นเร็วก็ได้ทำงานมาก
ส่วนใหญ่ผมจะเอาของต่าง ๆ ที่อยากถ่าย มาจัดถ่ายเอาเช้าวันอาทิตย์ หรือไม่ก็นั่งเคลียร์ภาพที่ถ่ายๆ เก็บเอาไว้
ภรรยาผมจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ทั้งหมดให้ ทั้งเรื่องอาหาร และพาลูกไปเรียนพิเศษช่วงเช้าที่เดอะมอลล์ท่าพระ แค่ข้ามถนนไปก็ถึงแล้ว ไม่เสียเวลา
ช่วงหลังมีลูกคนเล็ก คุณป้าแม่บ้านก็จะช่วยเลี้ยงให้ช่วงเช้า
ผมก็มีเวลาอีกราว ๆ ห้าหกชั่วโมงสำหรับทำธุระส่วนตัวและทำงาน
หลังเที่ยงก็เป็นเวลาครอบครัว พาลูกไปเที่ยวห้าง โชคดีที่อยู่หน้าห้าง ไม่เสียเวลาเดินทาง ดูหนัง กินอาหารที่เขาอยากกิน หรือไปทำบุญ
ถ้าลูกไม่อยากไปไหน อยากกลับไปเล่นเกม หรือดูการ์ตูนที่บ้านก็กลับเร็ว บางวันก็จัดฉากถ่ายรูปลูกสักครึ่งชั่วโมง
สนุกกันในครอบครัว และหารายได้ไปพร้อม ๆ กัน
ผมให้ค่าจ้างถ่ายแบบลูกทุกครั้ง ให้เขาเก็บไว้ซื้อของเล่นเอง
ไปจนถึงสามทุ่ม ก็เข้ารอบปกติ
ถ้าเป็นวันหยุดประเพณี หรือหยุดเทศกาล ผมก็จะมีเวลาเพิ่มอีกมาก
ภรรยาผมเป็นคนไม่ชอบเที่ยวนอกสถานที่
ถ้าผมถามว่า วันหยุดอยากไปไหน ที่เดียวในโลกนี้ที่เธอจะตอบก็คือ
"ตลาดวัดดอนหวาย"
เดือนสองเดือนได้ไปดอนหวายสักครั้ง ชีวิตเธอก็ไม่ต้องการไปไหนอีกแล้ว
แต่ห้างนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะลูกเรียนคุมอง เรียนดนตรีที่ห้าง ต้องไปทุกอาทิตย์และพฤหัสอยู่แล้ว
อันนั้นคือกิจวัตรทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าผมอยากออกไปถ่ายภาพในวันหยุด หรือเทศกาลต่าง ๆ
ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ภรรยาผมก็จะจัดการรับภาระเรื่องที่บ้านไว้เอง
และปล่อยผมทำงานเต็มที่
เป็นผู้หญิงที่โทรหาสามีแล้วไม่เคยคุยต่อ ถ้าได้ยินคำว่า "กำลังถ่ายรูป" จากสามี
เมื่อออกต่างจังหวัดหลาย ๆ คนเข้าใจว่า ผมออกต่างจังหวัดบ่อย ๆ ถือว่าได้เปรียบเพราะได้ไปหลายสถานที่
แต่ถ้าดูงานผมจริง ๆ แล้วจะเห็นว่า สถานที่ต่าง ๆ ที่ไปนั้น ไม่มากเลย เพราะถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าไปทำงาน
ผมดูแลฝ่ายขายต่างจังหวัดทั่วประเทศ เดินทางสลับกันไปแต่ละเดือนไม่ซ้ำกัน
แต่ละพื้นที่ มีพนักงานขายประจำอยู่แล้ว ผมไปเพื่อตรวจสอบการทำงานตามตารางที่กำหนด
รวมทั้งเข้าพบลูกค้าเพื่อพูดคุย รับฟังปัญหา ตกลงดีลพิเศษต่าง ๆ
ส่วนใหญ่เมื่อไปถึงพื้นที่แล้ว ก็จะนั่งรถไปกับพนักงานขายในเขตนั้น
แต่การทำงานต่างจังหวัด จะมีข้อดีก็คือ ไม่ต้องเสียเวลากับรถติด ประหยัดเวลาได้เป็นชั่วโมงต่อวัน
การเข้าพบลูกค้าก็มักจะเริ่มหลังสิบโมงเช้าไปแล้ว (แต่ส่วนใหญ่ก็หลังเที่่ยง)
ตอนเช้าผมก็มีเวลาราว ๆ สองชั่วโมงก่อนแปดโมง หรือก่อนที่พนักงานขายประจำเขตจะมารับไปทำงาน
ตอนเช้าทุกวันก็จะต้องตรวจออร์เดอร์ รวมทั้งงานพิเศษต่าง ๆ ที่จะส่งมาทางอีเมล์ จากพนักงานขายทั่วประเทศและจากบริษัท
พอราว ๆ หกโมงเย็นเลิกงาน
ไม่ต้องเสียเวลากับรถติด
ไม่ต้องใช้เวลากับลูก
ไม่ดูโทรทัศน์
ไม่ออกไปดื่ม ไม่ออกไปฟังเพลง
ไม่เที่ยวสถานบันเทิง
แล้วเวลาไปทำอะไร คงจะรู้นะครับ ผมมีเวลาส่วนนี้วันละหลาย ๆ ชั่วโมง
ปกติไปต่างจังหวัดไม่ต้องขับรถเอง เลยไม่ต้องรีบนอน บางทีก็เลยนอนเลยเวลาไปเป็นตีหนึ่งกว่า ๆ ก็มีบ่อย
วันอาทิตย์ส่วนใหญ่ พนักงานขายจะไม่นัดลูกค้า ส่วนใหญ่ก็เป็นวันหยุดลูกค้า พวกเขาจะสรุปเอกสารประจำสัปดาห์เพื่อส่งกลับบริษัท
ผมจะวางแผนล่วงหน้าแล้วว่า จะไปถ่ายภาพนอกสถานที่ที่ไหนบ้าง แล้วก็ไปแต่เช้า
วันอาทิตย์ทั้งวัน ส่วนใหญ่แล้วจะถ่ายภาพอย่างเดียว ถ่ายเยอะมาก
แล้วผมไม่ชอบไปนอนนอกสถานที่ ชอบนอนโรงแรมในเมือง
ใช้วิธีตื่นเช้ามืดไปให้ทัน เช่น จากอุบลไปสามพันโบก ก็ออกเดินทางตีสี่
จากเลยไปเชียงคาน ก็ออกก่อนตีห้า เป็นต้น
ยกเว้นมีวันหยุดยาวหรือเทศกาลในช่วงทริปตรวจงาน อันนั้นก็ถือโอกาสออกไปไกล ๆ เช่น ไปค้างเกาะ เป็นต้น
เช็คข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตให้จัดเจน ว่าที่นั่นเขาถ่ายอะไร ถ่ายจุดไหน เช้าถ่ายอะไร เย็นถ่ายอะไร
เวลาจะไม่เสียไปเปล่า ๆ กับการเดินมองหาว่าจะถ่ายอะไร
ที่ผมเล่ามายืดยาวนี้ก็เพราะ อยากให้รู้ว่า "วินัย" ที่เพื่อน ๆ พูดถึงกันนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ให้เวลากับสิ่งที่ไม่สนับสนุนเป้าหมายของชีวิตเราเลย
"เป้าหมาย" ก็ต้องชัดเจน
พลังใจเกินร้อย, ความมุ่งมั่น, ความทุ่มเท, ความมานะพยายาม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ ต้องการการรู้แจ้งแบบลึกซึ้้งจึงจะปฏิบัติได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
และโดยไม่ต้องทำไปทุกข์ไปด้วย ผมมีความสุขที่สุดกับสิ่งทำอยู่
ผมคิดว่า ตัวเองเข้าใจสิ่งที่หลาย ๆ คนชอบพูดว่า "ทำงานแบบไม่ต้องทำงาน" เป็นอย่างมาก
ไม่ใช่แค่คำพูดสวย ๆ หรู ๆ แต่เป็นหลักการที่ทำได้จริง ผมทำได้แล้ว
ดูเหมือนทำงานหนักขึ้น แต่ไม่เคยมีความทุกข์หรือท้อเลย ทุกข์กับท้อมันอยู่กับผมตอนไม่รู้จะทำอะไร
แต่พอได้ทำงานแบบไม่หายใจหายคอ มันมีแต่ความสุขครับ ไม่ทุกข์ไม่ท้อเลย
มีบ้างที่ร่างกายไม่ไหว ก็แค่เข้าห้อง ล้มตัวหลับบนที่ตอนทั้ง ๆ ที่ยังไม่อาบน้ำ
เช้าวันต่อมาก็กลับมาคึกคักเป็นปกติ
ตอนนี้ ในชัตเตอร์ผมขาดอีกนิดหน่อยก็ได้ 5,000 ภาพ
จริง ๆ แล้วควรจะได้มากกว่านี้อีกเยอะ แต่เวลาส่วนหนึ่งถูกแบ่งไปเขียนหนังสือ เขียนบทความ ตอบปัญหา ฯลฯ
หลาย ๆ คนรู้ว่าผมตาบอดสี บางคนไม่รู้ ผมยืนยัน ณ ที่นี้อีกว่า ไม่ได้ล้อเล่นครับ ผมตาบอดสีจริง ๆ
ผมลำบากกับการสร้างภาพจากโปรแกรมต่าง ๆ ผมเลือกสีไม่ถูก อยากได้สีฟ้า ก็ไม่เป็นสีฟ้า อยากให้เขียว ก็จะไม่ได้เขียวอย่างที่ใจคิด
ผม "จำเป็น" ต้องยึดมั่นอยู่กับภาพแนวภาพถ่าย เสียเปรียบคนที่สายตาปกติ ถ่ายภาพได้ สร้างภาพได้
แต่ผมก็ไม่กังวล ในเมื่อทางเลือกมีเท่านี้ ก็ต้องศึกษาเรื่องการถ่ายภาพ ดูตัวอย่างภาพขายดีเฉพาะหมวด Photo ไม่สนใจหมวด Vector
ตอน 500 ภาพแรกของผม ไม่มีตัวอย่าง ไม่มีแนวทาง ไม่มีเพื่อนให้ปรึกษา เหมือนอย่างที่น้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ เข้าทุกวันนี้นะครับ
มันยากกว่านี้เยอะเลย แต่ผมก็ผ่านจุดนั้นมาแล้วในที่สุด
ใครที่กำลังเริ่มต้น อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สนับสนุนเป้าหมายชีวิตเราเลยนะครับ เชื่อผม
ถ้าคุณทำแบบ "บ้าคลั่ง" จริง ๆ แล้ว ผมรับรองว่า มันจะเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่นานมากนักหรอกครับ คุณไม่ต้องทำแบบนี้ไปตลอดชีวิต
วันที่คุณได้ใช้ชีวิตสบาย ๆ อย่างที่คุณต้องการ มีโอกาสเป็นไปได้ และจะเข้ามาเร็วกว่าที่คิด หลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จแล้วคงรู้ในข้อนี้ดี
แต่ถ้าวันนี้ คุณทำ "เรื่อย ๆ" คุณก็ได้ผลแบบ "เรื่อย ๆ" และที่สำคัญ คุณต้องทำต่อไปไม่มีวันได้อะไรที่พิเศษ
สำหรับคนหนุ่ม คุณยังมีแรง ยังมีสุขภาพสมบูรณ์ ธรรมชาติให้สิ่งเหล่านี้มาเพื่อให้คุณใช้สร้างงาน สร้างอนาคต สร้างความมั่นคงในชีวิต
คุณอย่าไปเชื่อพวกที่ชอบบอกว่า
ทำงานมาก ๆ ไม่ดี สุดท้ายก็ต้องเอาเงินที่ทำงานได้ไปรักษาตัว
คำพูดประเภทนี้ มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นกลลวงทางคำพูด ที่คนขี้เกียจหรือไม่ทุ่มเท เอาไว้หาเหตุผลให้ตัวเองครับ
คนที่ประสบความสำเร็จไม่ว่าเรื่องอะไร น้อยคนนักที่จะเอาคำพูดทำนองนี้มาเป็นหลักในการทำงาน
พวกเขาจะทุ่มเทแบบสุด ๆ และสุดท้าย ก็จะพบกับจุดหมายปลางทางที่ต้องการได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ
ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ประเด็นก็คือ ไม่ใช่ว่าจะมีคุยว่าตัวเองดีเด่นอะไร
แต่เป็นการตอบคำถามของคุณโจว่า
หลาย ๆ คนมีวิธีการอย่างไรบ้าง จึงจะมี 500 รูปได้
และมีประเด็นต่อว่า ทำในขณะที่ทำงานประจำอีกด้วย
ผมเลยตอบต่อประเด็นให้ว่า ทำในขณะที่มีลูกสองอีกด้วย
คำตอบคือ ทำงานอย่างบ้าคลั่งครับ