เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ความคมชัดเป็นหนึ่งในหัวใจของภาพถ่าย ในตอนนี้เราจะมาว่ากันถึงเรื่องการถ่ายภาพให้คมชัดกันดีกว่าครับ เป็นหลักการกว้างๆ ทั่วไปในการถ่ายภาพให้คมชัด ซึ่งสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้งานได้เมื่อลงมือถ่ายภาพจริง หลักการเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นหลักสากล ไม่ใช่สิ่งใหม่อะไรแต่อย่างใด เพียงแต่ผมได้เพิ่มเติมหรือเสริมรายละเอียดบางอย่างเพิ่มขึ้นจากมุมมองหรือจากที่พบมาจากในภาคสนามของตัวเองเท่านั้น
ขาตั้งกล้อง
ในบรรดาองค์ประกอบทั้งหมดของการถ่ายภาพที่เป็นส่วนของ “อุปกรณ์” นอกจากกล้องและเลนส์แล้ว ขาตั้งกล้องนี่แหละที่ผมถือว่าเป็นอุปกรณ์ประกอบที่สำคัญที่สุดสำหรับการแสวงหาความคมชัดในระดับสุดยอด ใช้ขาตั้งกล้องในทุกสถานการณ์ที่คุณจะหาทางใช้มันได้ ทำไมต้องบอกว่า “สถานการณ์ที่คุณจะหาทางใช้มัน” เพราะว่า โดยทั่วไป นักถ่ายภาพมือสมัครเล่น หรือมือสแน็ปช็อต มักจะหาสารพัดข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะไม่ใช้ขาตั้งกล้อง ไม่ว่าจะเป็น “พื้นที่แคบ กางไม่สะดวก” “คนเยอะ เกะกะเขา” “เดินไกล แบกไม่ไหว” “ขึ้นเขา แค่กระเป๋ากล้องใบเดียวก็ลิ้นห้อยแล้ว” “ลงห้วย แบกไปเกะกะ เดี๋ยวลื่นจมน้ำ” “ออกทะเล (ไปเที่ยวเกาะ) ขึ้นเรือลงเรือไม่สะดวก” “เวลาน้อย กว่าจะกางเสร็จ หมดเวลาพอดี” “แสงดีอยู่แล้ว ใช้ทำไมให้เสียเวลา” “ใช้เลนส์ไวแสงอยู่แล้ว ทึม ๆ หน่อยแต่ยังได้ความไวชัตเตอร์เหลือเฟือ” “ถ่ายวัตถุอยู่นิ่งๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้ขาตั้ง” “แค่ถ่ายไปเป็นที่ระลึก จะต้องคมชัดอะไรหนักหนา” และอีกเป็นสิบเหตุผลที่จะไม่ใช้มัน
แต่นักถ่ายภาพระดับมืออาชีพ หรือมือสมัครเล่นระดับจริงจัง (Serious Amateur) จะมองในมุมกลับกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจะมองหาว่า ใน “ทุกสถานการณ์” จะมีช่องทางหรือวิธีการใดบ้างที่จะใช้ขาตั้งกล้องสำหรับภาพที่คมชัดของพวกเขาได้บ้าง พวกเขายินดีที่จะหนัก เหนื่อย เสียเวลา ในการใช้ขาตั้งกล้อง เพราะรู้ดีว่า มันคุ้มค่าที่สุดที่จะทำสิ่งเหล่านั้น เพื่อแลกกับความคมชัดของภาพในระดับ “คมกริบ” ตามที่ต้องการ ระยะเวลาเท่ากัน ในสถานการณ์เดียวกัน มือสมัครเล่นหรือมือสแน็ปช็อตทั่วไป อาจจะใช้มือถือกล้อง แล้วถ่ายภาพได้มากมาย ในขณะที่มืออาชีพหรือมือสมัครเล่นระดับจริงจัง อาจจะถ่ายได้น้อยกว่ากันเป็นสิบเท่าเพราะมัวแต่เสียเวลากับการปรับขาตั้งกล้อง แต่นักถ่ายภาพที่มีประสบการณ์ในระดับหนึ่งจะรู้ดีว่า จำนวนภาพนั้น ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง คำตอบที่แท้จริง อยู่ที่ คุณภาพของภาพต่างหาก ภาพที่คมชัดอย่างแท้จริงเพียงภาพเดียว ย่อมดูดีกว่าภาพที่มีความคมชัดแบบครึ่งๆ กลางๆ นับร้อยภาพ
ไม่ใช่ว่า ขาตั้งกล้องอะไร แบบไหนก็จะสามารถช่วยให้ได้ภาพที่คมชัดได้เสมอไป การเลือกขาตั้งที่เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักกล้องก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เลือกขาตั้งกล้องที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ของคุณ โดยทั่วไป ไม่ใช่กล้องและเลนส์เท่านั้นที่มี Spec ทางเทคนิค ขาตั้งกล้องก็มี Spec ที่ว่าเหมือนกัน ทุกรุ่นจะระบุน้ำหนักที่มันสามารถรับได้สูงสุดเอาไว้เสมอ เลือกรุ่นที่สามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าอุปกรณ์ที่คุณใช้อยู่สักประมาณเท่าตัวกำลังดี เพื่อว่าคุณจะได้ไม่ต้องแบกขาตั้งกล้องที่มีน้ำหนักมากเกินไปโดยไม่มีความจำเป็นต้องใช้ บ่อยครั้ง ในสถานที่ท่องเที่ยวหรือมุมถ่ายภาพยอดนิยม ผมจะเห็นนักถ่ายภาพใช้กล้อง DSLR รุ่นแพง ๆ บนขาตั้งกล้องอลูมิเนียมเล็กๆ ถูกๆ ซึ่งจินตนาการไม่ออกเลยว่ามันจะให้ภาพที่คมชัดได้อย่างไร ขาตั้งกล้องพวกนี้ เมื่อใช้กับกล้องที่มีน้ำหนักมาก ๆ ตัวใหญ่ ๆ แค่เพียงสายลมพัดผ่านเบา ๆ ที่คุณแทบจะไม่รู้สึก ก็ทำให้มันสั่นไหวได้อย่างมากโดยที่คุณมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และจอ LCD หลังกล้อง ก็ไม่ได้บอกอะไรคุณได้มากในเรื่องความ “คมชัด” จนกว่าคุณจะถ่ายโอนภาพเข้าไปเปิดดูในจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งตอนนั้นก็จะ “สายเกินไป” ที่จะกลับไปถ่ายใหม่หรือถ่ายซ่อมอีกครั้ง ดังนั้น ถ้าคุณสงสัยว่า ทำไมคุณใช้ขาตั้งกล้องแล้ว ทำไมยังได้ภาพไม่คมชัดอย่างที่เป็น สาเหตุหนึ่งอาจจะมาจากการใช้ขาตั้งกล้องที่มีความแข็งแรงน้อยเกินไป หรือรับน้ำหนักได้ไม่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่คุณใช้อยู่ก็เป็นได้
กางขาตั้งกล้องให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าขาตั้งของคุณเป็นแบบสามหรือสี่ท่อน ใช้งานท่อนที่ติดกับหัวขาตั้งก่อนเสมอ ถ้าความสูงไม่พอ ค่อยใช้งานท่อนที่อยู่ปลายสุด
ถ้าขาตั้งของคุณดึงแกนกลางขึ้นสูงได้ เลือกใช้แกนนี้เป็นลำดับสุดท้าย และใช้เฉพาะเมื่อจำเป็นสุดๆ เท่านั้น แกนกลางยิ่งสูง ยิ่งเพิ่มโอกาสในการสั่นไหวให้กล้องมากยิ่งขึ้น ถ้าคุณมีรีโมท หรือมีสายลั่นชัตเตอร์ อย่าใช้แกนกลางที่ยืดจนสูงสุดร่วมกับการกดชัตเตอร์ลงไปบนปุ่มชัตเตอร์โดยตรง เด็ดขาด ต่อให้ใช้ระบบหน่วงเวลา 2 วินาทีแล้วแล้วก็ตาม ใช้ร่วมกับสายลั่นชัตเตอร์หรือรีโมทเท่านั้น แต่ถ้าไม่ทางเลือก ต้องกดชัตเตอร์เองร่วมกับระบบหน่วงเวลาถ่ายตัวเอง ก็ให้กดชัตเตอร์เบาที่สุด แล้วรีบเอามือออกกล้องโดยเร็ว เพราะกล้องที่อยู่บนหลายสุดของขาตั้งที่ยืดแกนกลางออกจนสุดนั้น เป็นสิ่งที่สั่นไหวได้ง่ายที่สุด เนื่องจากน้ำหนักจำนวนมาก ขึ้นไปอยู่บนแกนเล็กๆ แกนเดียว ยิ่งสูงยิ่งสั่นง่ายครับ ระยะเวลาสั้นๆ กล้องอาจจะไม่นิ่งสนิทจริงๆ ก็ได้ แต่เราไม่มีทางมองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างแน่นอน
ถ้าขาตั้งของคุณกางออกได้กว้างหลายระดับ ให้ใช้ระดับที่แคบที่สุดก่อนเสมอ ไว้จำเป็นจริงๆ ค่อยใช้การกางที่กว้างขึ้น น้ำหนักเท่ากันที่กดทับลงไปบนขาตั้งที่กางแบบแคบ จะทำให้มีโอกาสเกิดความสั่นไหวน้อยกว่าการกางแบบกว้าง
กางขาตั้งกล้องของคุณโดยให้ปลายสุดอยู่บนพื้นที่แข็งที่สุดเท่านั้น อย่าให้มีส่วนใดส่วนหนึ่งของขาไปแตะหรือสัมผัสกับวัตถุใดๆ เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมกับเพื่อนไปถ่ายภาพกลางคืนบนสะพานซึ่งมีรถวิ่งไปมา เพื่อนผมสงสัยว่า ทำไมภาพบางภาพจึงดูเหมือนไม่ “คมกริบ” สักที ทั้งๆ ที่ใช้ขาตั้งอย่างดี ดูไปดูมา (ในความมืด) ปรากฏว่า ปลายของขาตั้งขาหนึ่ง ไปสัมผัสกับท่อนเหล็กราวสะพาน ซึ่งจะส่งผ่านการสั่นสะเทือนจากรถยนต์ที่วิ่ง จากคนที่เดิน จากลมที่พัด ขึ้นไปสู่ตัวกล้องได้อย่างดี ทำให้ได้ภาพที่ไม่คมกริบ พอขยับออกมาห่างจากเหล็กราวสะพานนั้น ภาพก็คมชัดขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
ไม่ใช่เฉพาะขาตั้งกล้องเท่านั้นที่ต้องเลือกรุ่นซึ่งรับน้ำหนักได้เหมาะสมกับอุปกรณ์ของคุณ หัวขาตั้งกล้องก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เลือกหัวขาตั้งกล้องที่ระบุว่ารับน้ำหนักได้เหมาะกับน้ำหนักอุปกรณ์ของคุณ จะเป็นหัวบอลหรือหัวแพน หรือหัวแบบไหน ยังไม่สำคัญเท่ามันรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ สมดุลย์กับอุปกรณ์ที่คุณใช้หรือไม่
Monopod โมโนพอด
ถ้าคุณเป็นนักถ่ายภาพระดับจริงจัง หรือมุ่งมั่นจะเป็นมืออาชีพต่อไปในอนาคต ขาตั้งเดี่ยวหรือ Monopod ดีๆ สักอันน่าจะเป็นอุปกรณ์ที่คุณจำเป็นต้องหามาใช้ บางสถานการณ์เราก็ต้องยอมรับความจำเป็นที่บังคับไม่ให้เราใช้ขาตั้งกล้องแบบสามขาได้ เช่น งานพิธี งานรับปริญญา งานเทศกาล ในขบวนแห่ เป็นต้น ซึ่งมีคนมากและต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา ในวันฟ้าโปร่งมีแสงเหลือเฟือ การใช้มือถือกล้องถ่ายภาพก็สามารถทำได้อย่างไม่กังวล แต่ในสถานการณ์ที่ก้ำกึ่งระหว่างใช้มือถือกล้องกับใช้ขาตั้งแบบสามขา Monopod จะเป็นคำตอบที่ยอดเยี่ยมลงตัว ลองใช้มันแล้วคุณจะติดใจ วันที่ฟ้าครึ้มหรือบ่ายแก่ๆ ของวัน ในอาคารหรือที่ร่มซึ่งแสงส่องเข้าถึงเพียงครึ่งเดียวของแสงปกติ ถ้าไม่สามารถใช้ขาตั้งสามขาได้ ก็ไม่มีอะไรดีกว่า Monopod อีกแล้วในเรื่องความคล่องตัว มันไม่เกะกะอย่างที่คิด สามารถใช้งานกลมกลืนไปกับสถานการณ์ทั่วไป คุณสามารถใช้ Monopod ท่ามกลางฝูงชนมากๆ โดยที่แทบไม่เกะกะกีดขวางผู้อื่นเลย
นอกจากช่วยในเรื่องความคมชัดแล้ว Monopod ยังช่วยให้คุณไม่เมื่อยล้าหรือเหนื่อยเกินไปในการประคองน้ำหนักของอุปกรณ์ ถ่ายภาพเป็นเวลานาน ๆ ช่วยให้ช่วงเวลาการถ่ายภาพยังคงความสนุกสนานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
ใช้ระบบล็อคกระจก
ผมค่อนข้างแปลกใจที่นักถ่ายภาพจำนวนไม่น้อย ซึ่งมีกล้อง DSLR ชั้นดีอยู่ในมือ เมื่อพูดถึงระบบล็อคกระจกสะท้อนภาพ ไม่จำนวนไม่น้อยจะถามว่า “แล้วรุ่นของผม ระบบนี้มันอยู่ตรงไหน???” จริงๆ แล้วเราซื้อกล้องถ่ายภาพอย่างดีมาใช้ จุดประสงค์สำคัญอย่างหนึ่งคือต้องการได้ภาพที่คมชัด และระบบล็อคกระจกสะท้อนภาพก็เป็นหนึ่งในระบบที่เมื่อใช้ร่วมกับเทคนิคอื่น ๆ แล้ว มีประโยชน์มากที่สุดในการที่จะทำให้มีโอกาสได้ภาพคมชัดที่ว่านั้นมากขึ้น แต่หลายๆ คนกลับไม่เคยใช้งานมันเลย แถมบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า กล้องรุ่นที่ตัวเองใช้อยู่ เปิดใช้งานระบบล็อคกระจกสะท้อนภาพอย่างไร
เมื่อกล้อง DSLR ทำงาน การกระดกของกระจกสะท้อนภาพ ทำให้ตัวกล้อง (ที่แม้จะอยู่บนขาตั้งที่นิ่งสนิท) มีโอกาสสั่นไหวจากแรงสะเทือนนั้น แม้ว่าจะเป็นแรงสะเทือนที่เล็กน้อย แต่การถ่ายภาพระดับมืออาชีพหรือระดับจริงจัง บ่อยครั้งที่การแพ้ชนะ หรือการเลือกว่า ภาพใดจะถูกนำไปใช้ไปงาน ภาพใดจะถูกลบทิ้ง จะถูกตัดสินจากการสั่นสะเทือนซึ่งจะไม่มีวันมองเห็นด้วยตาเปล่าอย่างการเคลื่อนตัวของชุดกระจกสะท้อนภาพ ถ้าคุณใช้กล้องรุ่นที่สามารถล็อคกระจกสะท้อนภาพได้ การล็อคมันไว้ จะมีส่วนอย่างมากในการประกันความนิ่งสนิทของกล้องถ่ายภาพ ซึ่งเท่ากับว่า มีโอกาสจะได้ภาพที่คมชัดมากยิ่งขึ้น
ถ้าคุณกำลังใช้งานกล้องที่มีระบบล็อคกระจกสะท้อนภาพได้ แต่ยังไม่เคยใช้ หรือไม่เคยรู้ว่ามันใช้งานอย่างไร รีบเปิดคู่มือการใช้งาน และทดลองใช้งานระบบนี้ดู แล้วคุณจะพบว่า มันมีประโยชน์มหาศาลจริงๆ
ส่วนจะถามว่า จะใช้ระบบนี้ในโอกาสไหน สำหรับผม จะใช้ทุกครั้งที่ถ่ายภาพวัตถุประเภทหุ่นนิ่ง และ/หรือใช้งานกล้องบนขาตั้งกล้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถ่ายภาพแบบโคลสอัพ หรือถ่ายภาพแบบมาโคร (ที่กล้องอยู่บนขาตั้ง) ระบบนี้ ไม่ค่อยสะดวกกับการใช้งานกล้องแบบถือถ่ายด้วยมือหรือถ่ายวัตถุที่มีการเคลื่อนไหวบ้าง เพราะจะต้องมีจังหวะของการปลดล็อคกระจกเพิ่มเข้ามาอีกจังหวะหนึ่ง ซึ่งทำให้การกะจังหวะของวัตถุทำได้ยากขึ้น
สายลั่นชัตเตอร์ หรือ รีโมทลั่นชัตเตอร์
ต่อเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว สายลั่นชัตเตอร์หรือรีโมทลั่นชัตเตอร์ ก็เป็นอุปกรณ์ที่ผู้แสวงหาความคมชัดแบบสุดขั้วต้องหามาใช้ ใช้สายลั่นชัตเตอร์ร่วมกับระบบล็อคกระจก ตัดปัญหาการสั่นสะเทือนที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนภายในกล้องได้อย่างสมบูรณ์
รีโมทลั่นชัตเตอร์ เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยหยุดการสั่นสะเทือนของกล้องในขณะชัตเตอร์ทำงานได้อย่างแท้จริงโดยไม่ต้องกังวลใดๆ แต่สายลั่นชัตเตอร์ก็มีข้อที่ควรระวังขณะใช้อยู่บ้าง ผมเคยเห็นช่างภาพที่ใช้สายลั่นชัตเตอร์ เสียบสายลั่นเข้ากับตัวกล้องแล้วปล่อยสายห้อยลงมาเฉยๆ ลมที่พัดก็ทำให้ตัวเครื่องแกว่งไปมา เวลาจะใช้ก็คว้าตัวเครื่องขึ้นมากดปุ่ม โดยที่สาย (ซึ่งบางรุ่นยาวพอสมควร) ห้อยลอยอยู่ในอากาศ ถ้าลมนิ่งก็น่าจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าถ่ายภาพในสถานที่ที่มีลมพัด น่าจะมีส่วนทำให้กล้องมีความสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย จริงๆ แล้วเมื่อเสียบสายลั่นชัตเตอร์แล้ว ควรเอาสายไปพันไว้กับส่วนใดส่วนหนึ่งของขาตั้งกล้อง ไม่เปิดโอกาสให้แรงสั่นสะเทือนใดๆ ไปกระทำต่อตัวกล้องได้เลย
จัดระเบียบร่างกายในขณะถ่ายภาพ
ถ้าต้องถ่ายภาพในสถานการณ์ที่มีแต่ตัวคุณกับกล้อง ไม่มีขาตั้งกล้องทุกชนิด วิธีการจับกล้องและเทคนิคการจัดระเบียบร่างกายให้นิ่งสนิทที่สุดจะมีผลมากต่อภาพที่จะออกมา ฝึกซ้อมท่าทางการถือกล้องให้นิ่งหลายๆ แบบ อย่าใช้เพียงวิธีการยกกล้องขึ้นถ่ายภาพแบบไม่คิดอะไรมาก
ศึกษาการจับถือกล้องที่ถูกวิธี เลนส์ตัวสั้นจับแบบหนึ่ง เลนส์ตัวยาวอาจจะจับอีกแบบหรืออีกตำแหน่งหนึ่ง เลนส์และกล้องชุดเล็กจับอีกแบบหนึ่ง ส่วนชุดใหญ่ก็ต้องจับให้เหมาะกับขนาดและน้ำหนักที่มีอยู่ เลนส์ตัวไหนหรือกล้องตัวไหนจับตรงจุดไหนแล้วรู้สึกนิ่งที่สุด ฝึกซ้อมจับตรงจุดนั้นให้ขึ้นใจ เวลายกกล้องขึ้นถ่ายภาพจะได้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ช่วยได้มากจริงๆ ครับ
แนบแขนบริเวณข้อศอกทั้งสองข้างไว้ติดกับลำตัว จะดีกว่ากางข้อศอกลอยอยู่กลางอากาศอย่างแน่นอน
ถ้ามีเสา ผนัง โต๊ะ หรืออะไรที่พิงได้ ไม่ว่าจะพิงหลังหรือพิงด้านข้าง ก็ให้ทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนสิ่งนั้น จะช่วยให้ตัวคุณนิ่งมากขึ้นกว่าการยืนตามปกติ
มองหาโต๊ะ กำแพง หรือจุดที่สามารถวางกล้องลงไปได้ ถ้ามี ใช้มันให้เป็นประโยชน์
กลั้นหายใจขณะกดชัตเตอร์
ถ้าถือกล้องถ่ายภาพด้วยมือ ไม่มีขาตั้งกล้อง จังหวะการหายใจเข้าออกสำคัญมาก อย่ากดชัตเชอร์พร้อมการหายใจเข้าหรือออก หรือว่าหายใจตามสบายไม่กะจังหวะอย่างเด็ดขาด ให้กดในขณะที่กลั้นลมหายใจ หรือในจังหวะที่หายใจออกจนสุด ช่วงหยุดก่อนหายใจเข้าเท่านั้น
กดชัตเตอร์อย่างนุ่มนวล
ปุ่มกดชัตเตอร์ไม่ได้ต้องการแรงกดหนักๆ มันก็ทำงานแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องออกแรงกดจนสุดแรง มันต้องการเพียงแรงกดที่นุ่มนวลเบาๆ เท่านั้น ค่อยๆ กดลงไปโดยใช้แรงเท่าที่มันจะทำงาน ฝึกซ้อมให้ชำนาญ กดชัตเตอร์ลงไปด้วยน้ำหนักที่พอดี ๆ ไม่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อกล้องโดยไม่จำเป็น
ตั้งเวลาถ่าย 2 วินาที
ผมเคยได้รับคำถามจากเพื่อนมือใหม่ที่ซื้อกล้อง DSLR มาใช้งานเป็นครั้งแรกว่า เจ้าฟังก์ชั่นหน่วงเวลา 2 วินาทีนั้น มันเอาไว้ทำอะไร เพราะ 10 วินาทีเอาไว้ถ่ายภาพหมู่ที่อยากให้มีตัวช่างภาพปรากฏอยู่ในภาพด้วย หรือไว้ถ่ายตัวเองเวลาไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ 2 วินาทีนั้น มือใหม่เป็นงง ไม่รู้ว่าจะเอาไว้ใช้อย่างไร
สำหรับผมแล้ว ฟังก์ชั่นหน่วงเวลา 2 วินาทีนี้เป็นฟังก์ชั่นที่ผมใช้งานบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับมือใหม่ระดับไม่จริงจังหรือมือสแน็ปช็อตแล้ว ฟังก์ชั่นนี้ไม่จำเป็น ไม่ต้องมีก็ได้ แต่สำหรับมืออาชีพหรือมือสมัครเล่นระดับจริงจังที่ยึดความคมชัดเป็นสรณะ นี่เป็นฟังก์ชั่นที่ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาด ในยามที่คุณไม่มีสายลั่นชัตเตอร์หรือรีโมทอยู่ในมือ ฟังก์ชั่นนี้จะทำหน้าที่แทนได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งกล้องบนขาตั้ง เปิดระบบล็อคกระจก เปิดใช้งานฟังก์ชั่นหน่วงเวลา 2 วินาที แล้วกดชัตเตอร์ลงไป (เบาๆ) ความสั่นไหวใดๆ จะมาแทรกตัวอยู่ในภาพของคุณได้ยากยิ่ง
ข้อควรระวัง ถ้าคุณถ่ายภาพโดยยกแกนกลางขาตั้งกล้องขึ้นสูง หรือถ่ายภาพในที่ที่มีลมพัดจนรู้สึกได้ชัดเจน แม้ว่าจะเปิดฟังก์ชั่นหน่วงเวลา 2 วินาทีแล้ว ขณะที่กดชัตเตอร์ คุณก็ต้องระหว่างไม่กดแรงเกินไปจนกล้องสั่นไหว เพราะในสภาวะแวดล้อมที่กล้องสั่นไหวได้ง่ายเช่นนี้ ระยะเวลา 2 วินาที กล้องของคุณอาจจะยังไม่นิ่งสนิท 100% ก็เป็นได้
เปิดระบบกันสั่นของเลนส์
เลนส์รุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบกันสั่น ไม่ว่าจะเป็น IS ของแคนนอน VR ของนิคอน เป็นต้น จะช่วยให้คุณถ่ายภาพโดยไม่มีอุปกรณ์ประเภทขาตั้งรองรับ ด้วยความไวชัตเตอร์ที่ต่ำลงอีกประมาณ 2-4 สต็อป ถ้าคุณใช้เลนส์รุ่นเหล่านี้อยู่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า เปิดระบบนี้อยู่ในขณะที่กำลังถ่ายภาพ
ปิดระบบกันสั่นของเลนส์
ไม่มีอะไรขัดแย้งกันระหว่างข้อที่แล้วกับข้อนี้ครับ ไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่คุณจะต้องใช้ระบบกันสั่น สำหรับเลนส์ที่มีระบบกันสั่นในเจเนอเรชั่นแรกๆ เมื่อกล้องถูกติดตั้งอยู่บนขาตั้ง ระบบกันสั่นในเลนส์มักจะสับสนตัวเองว่าจะทำงานดีหรือไม่ทำงานดี กลายเป็นว่า ความสั่นอาจจะเกิดขึ้นจากการที่ระบบนี้ทำงานอยู่ตลอดเวลา เลนส์กันสั่นรุ่นใหม่ๆ จะได้รับการแก้ปัญหานี้แล้ว แต่เพื่อความสบายใจ เมื่อกล้องอยู่บนขาตั้งที่มั่นคง คุณจะปิดระบบนี้เสียก็ได้ แต่อย่าลืมเปิดใช้งานเมื่อใช้เลนส์ถ่ายภาพโดยใช้มือถือในครั้งต่อไป
ฟิลเตอร์หน้าเลนส์ อาจจะเป็นจำเลยได้ในกรณีภาพไม่คมชัด
โดยทั่วไป เรานิยมใช้ฟิลเตอร์ประเภท UV ติดหน้าเลนส์ไว้เพื่อป้องกันหน้าเลนส์ราคาแพงของเรา เท่ากับว่า หน้าชิ้นเลนส์ที่ผ่านการเคลือบอย่างดี จะมีกระจกหรือชิ้นแก้วชิ้นหนึ่งเพิ่มเข้ามาขวางกั้นไว้ ถ้ากระจกหรือแก้วชิ้นนี้คุณภาพไม่ดี มันย่อมส่งผลกระทบต่อชิ้นเลนส์คุณภาพเยี่ยมของคุณแน่นอน มืออาชีพจำนวนไม่น้อยทั้งชาวไทยและต่างประเทศ จะถอดฟิลเตอร์ประเภทนี้ออกทุกครั้งในขณะถ่ายภาพ แม้ว่าเขาจะใช้ฟิลเตอร์ที่ได้ชื่อว่า คุณภาพดีที่สุดแล้วก็ตาม
แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ แต่เราก็ควรเลือกใช้ฟิลเตอร์ที่มีคุณภาพดีที่สุดเท่าที่เราสามารถเป็นเจ้าของได้ มีหลายครั้งที่ผมเห็นเลนส์ราคาครึ่งแสน ถูกติดหน้าเลนส์ไว้ด้วยฟิลเตอร์ราคาประมาณพันกว่าบาท ฟิลเตอร์เป็นหนึ่งในสินค้าที่นักถ่ายภาพมืออาชีพทุกระดับยอมรับไปในทิศทางเดียวกันว่า You get what you pay คุณจ่ายอย่างไรก็ได้อย่างนั้น ดังนั้น สำหรับนักถ่ายภาพที่จริงจังกับความคมชัด หาข้อมูลดีๆ ก่อนตัดสินใจซื้อฟิลเตอร์สักตัวนะครับ จ่ายเพิ่มอีกสักสี่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ อาจจะประหยัดกว่าในที่สุด เพราะว่าไม่ต้องถ่ายไปขัดใจไปกับความคมชัดแล้วต้องเลิกใช้ หรือขายทิ้งไปแล้วมาซื้อฟิลเตอร์ดีๆ อันใหม่ในภายหลัง
ใช้แฟลช
ถ้าสภาพแสงไม่เป็นใจเอาเสียเลย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ปราศจากแสง หรือวัตถุอยู่ในตำแหน่งที่แสงส่องเข้าไปไม่ถึง และคุณได้ลองวิธีการต่าง ๆ หลายวิธีแล้วยังไม่ได้ภาพที่ถูกใจ ลองใช้แฟลชช่วยเรื่องแสง แฟลชจะช่วยให้คุณได้ความไวชัตเตอร์ที่สูงขึ้น รวมทั้ง f สต็อปที่แคบลง ซึ่งจะทำให้มีโอกาสได้ภาพที่คมชัดขึ้น ใช้ระยะเวลาในการถ่ายภาพน้อยลง รวมทั้งมีโอกาสได้ภาพที่มีจังหวะหรือมุมมองที่แตกต่างไปจากภาพทั่วไปในชีวิตประจำวัน
รอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสม
คุณคงเคยดูสารคดีชีวิตสัตว์ป่ามาบ้าง บางครั้ง เสือคอยซุ่มเฝ้าดูเหยื่อทุกฝีก้าวอย่างเงียบกริบ เมื่อสบจังหวะโอกาสที่เหมาะสม ก็ลงมือตะปบเหยื่อในชั่วพริบตา เบื้องหลังภาพในแสงธรรมชาติที่ดูคมชัด นิ่งสนิทของช่างภาพหลาย ๆ คน คือการอดทนรอคอยในลักษณะนั้น อดทน จดจ่อ มุ่งมั่น รอจังหวะเวลาที่เหมาะสม มือสแน็ปช็อตอาจจะไม่เคยทนรอเกินหนึ่งนาทีสำหรับการถ่ายภาพดอกไม้ดอกหนึ่ง ถ้าลมพัดดอกไม้ไหว พวกเขาก็จะถ่ายมันแบบไหวๆ อย่างนั้น แต่มืออาชีพหรือมือระดับจริงจัง ยินดีอดทนรออย่างยาวนานเพื่อคอยจังหวะที่ลมสงบที่สุด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งหรือสองครั้งในช่วงหลายนาที แม้แต่เป็นชั่วโมง และผลที่ได้ ก็มักจะแตกต่างกับภาพที่ได้มาโดยปราศจากความอดทนคอยจังหวะที่เหมาะสม
ถ่ายภาพเป็นชุด มีโอกาสได้ภาพที่คมชัดมากขึ้น
ช่างภาพยุคดิจิตอลมีข้อได้เปรียบช่างภาพยุคฟิล์มอยู่อย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาสามารถถ่ายภาพวัตถุใดๆ ก็ได้เป็นจำนวนมากเพื่อเลือกใช้งานภาพที่คมชัดสูงสุดเท่านั้น โดยแทบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แม้ว่าชุดม่านชัตเตอร์จะมีอายุการใช้งานจำกัดก็จริง แต่การเปลี่ยนแต่ละครั้ง ก็ใช้งบประมาณที่ไม่สูงมากนัก หารเฉลี่ยต่อภาพแล้วถือว่าต่ำมาก ในขณะที่ช่างภาพยุคฟิล์ม จะต้องเสียเงินทุกครั้งที่พวกเขากดชัตเตอร์ลงไป ยิ่งถ่ายมากยิ่งเสียเงินมาก แม้แต่มืออาชีพในยุคฟิล์ม ก็มีน้อยมากที่จะถ่ายภาพจำนวนมากเท่าที่ต้องการ โดยไม่กังวลถึงงบประมาณ
แม้ว่าช่างภาพบางคน จะมีแนวคิดไม่เห็นด้วยกับการถ่ายภาพจำนวนมากเพื่อไปเลือกภาพที่ดีสุด เพราะเห็นว่านั่นไม่ใช่เป็นการแสดง “ฝีมือ” แต่เป็นการ “เสี่ยงดวง” พวกเขาบอกว่า ถ้าแน่จริงต้องถ่ายภาพแล้วใช้ได้ทุกภาพ ซึ่งส่วนตัวแล้วผมเองมองว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ (ความเห็นส่วนตัวนะครับ ด้วยความเคารพ หลายๆ ท่านที่ฝีมือเทพๆ จริงอาจจะทำได้ไม่ยาก) แต่ช่างภาพมืออาชีพระดับโลกบางคนเช่น โจ แมคเนลลี่ Joe Mcnally ช่างภาพระดับ “ตำนานที่ยังมีชีวิต” ก็ทำให้เห็นมาแล้วว่า ไม่สำคัญว่าคุณถ่ายภาพกี่ภาพ แต่ภาพดีที่สุดที่คุณนำออกแสดงต่อสาธารณชน คือภาพที่จะบอกว่า คุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ บางครั้งเขาถ่ายภาพด้วยฟิล์ม 35 มม. บนกล้องที่ติดมอร์เตอร์ไดรฟ์ รวดเดียวหมดม้วนภายใน 10 วินาทีเพื่อบันทึกเหตุการณ์สำคัญๆ บางครั้ง (อย่างเช่นภาพคนเปลี่ยนหลอดไฟบนยอดตึกเอ็มไพร์สเตทของเขา โจกดชัตเตอร์รวดเดียวแทบจะหมดม้วนเพื่อเก็บทุกจังหวะ เนื่องจากเขามีเวลาอยู่ตรงนั้นได้เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น) ถ่ายภาพไป 10 ม้วน คนทั่วไปจะได้เห็นเพียงสองหรือสามภาพเท่านั้น นอกนั้นถูกทิ้งไป และเขาก็กลายเป็นช่างภาพที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ได้ในที่สุด
ดังนั้น ในบางสถานการณ์ ด้วยกล้องดิจิตอลที่อยู่ในมือ และต้นทุนต่อการกดชัตเตอร์ที่ต่ำมาก หากอยู่ในเหตุการณ์ที่สำคัญมากพอ ไม่มีประโยชน์ที่คุณจะมัวคิดถึงการ “เปลืองชัตเตอร์” ถ่ายมันให้มากที่สุด ใครจะรู้ว่า ด้วยข้อจำกัดต่างๆ มากมาย ร้อยภาพที่คุณกดชัตเตอร์ลงไป จะมีสักภาพหรือสองสามหรือไม่ที่ “สมบูรณ์แบบ” พอจะเป็นภาพยอดเยี่ยม เหตุการณ์บางอย่างจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตคุณ ถ่ายภาพให้มากที่สุด สำหรับผม ความเสียดายอายุการใช้งานชัตเตอร์ เทียบไม่ได้กับความเสียดายที่ไม่ได้ภาพดีๆ จากเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วไม่มีวันเกิดขึ้นอีก (แน่นอนว่าผมต้องย้ำเสมอว่านี่เป็นเพียงแนวคิดส่วนตัว เพื่อหลีกเลี่ยงการถกเถียงจากบรรดาช่างภาพที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้)
เลือกค่ารูรับแสงที่ดีที่สุด
เทคนิคข้อนี้เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ช่างภาพทั่วไปรู้กันดี โดยปกติ เลนส์จะให้คุณภาพที่สุด ที่ค่ารูรับแสงแคบกว่าค่ากว้างสุดของเลนส์ตัวนั้นประมาณ 2-3 สต็อป เช่น เลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างสุด f2.8 มักจะให้คุณภาพดีที่สุดที่รูรับแสงประมาณ f5.6 – f8 เป็นต้น (อย่าถือเป็นกฎตายตัวนะครับ มันขึ้นอยู่กับการออกแบบและรุ่นของเลนส์แต่ละรุ่นด้วย) ถ้าสภาพแสงเอื้ออำนวย และระยะชัดลึกที่เกิดขึ้น ไม่ผิดจากที่ต้องการ ก็เลือกใช้ค่าโดยประมาณนี้ มีโอกาสได้ภาพที่มีความคมชัดสูงสุดเท่าที่เลนส์จะให้ได้
ไม่ว่าคุณจะครอบครองเลนส์ตัวใด ลองถ่ายภาพทดสอบดูด้วยตัวเองถ้าคุณมีเวลาและมีความอุตสาหะมากพอ หรือว่าลองใช้ Google ค้นหาข้อมูลของเลนส์ตัวนั้น ดูว่า ผลการทดสอบ ความเห็นของผู้ใช้งาน มีข้อมูลค่ารูรับแสงที่ดีที่สุดของเลนส์รุ่นที่คุณใช้อยู่ที่ค่าใด ก็ลองใช้ค่านั้นถ่ายภาพดูบ่อยๆ เปรียบเทียบกับค่าอื่นๆ แต่ถ้าคุณหาไม่ได้ ค่าที่ปลอดภัยที่สุด ส่วนใหญ่จะเป็น f8
แต่หลักการนี้เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น อย่าได้ถ่ายทุกสิ่งทุกอย่างด้วยค่ารูรับแสงที่ดีที่สุดเพียงค่าเดียว ภาพจะดูดีได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความคมชัดที่สุดเพียงอย่างเดียว ภาพที่ถ่ายแบบชัดตื้นก็ต้องถ่ายให้ชัดตื้น ภาพที่ควรมีระยะชัดลึกสูงๆ ก็ต้องถ่ายให้เหมาะสมกับเนื้อหาในภาพ ไม่อย่างนั้น จะกลายเป็น คมชัด แต่ไม่สร้างสรรค์ ไปในที่สุด
ปล่อยฉากหลังให้อยู่นอกระยะชัด
การถ่ายภาพแบบเน้นวัตถุหลักชัดๆ แล้วปล่อยฉากหลังให้เบลอ ถือเป็นเทคนิคทำให้ภาพมีความรู้สึกคมชัดมากขึ้น โดยอาศัยการทำงานของสายตาและสมอง ที่จะทำให้ผู้ดูรู้สึกเปรียบเทียบความชัดของวัตถุหลัก กับความเบลอของฉากหลัง แล้วมองเห็นวัตถุหลัก “คมชัด” ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
รู้ช่วงที่ชัดที่สุดของเลนส์ที่คุณใช้
ข้อนี้หมายถึงเลนส์ซูม เลนส์แต่ละตัวจะมีคุณสมบัติทาง Optical แตกต่างกัน เลนส์ซูมบางตัว ให้คุณภาพดีที่สุดที่ช่วงซูมกว้างสุด บางตัวให้คุณภาพที่ช่วงซูมแคบสุด หรือบางตัวให้คุณภาพดีที่สุดที่ช่วงซูมค่าใดค่าหนึ่ง เป็นต้น เหมือนกับเรื่องรูรับแสง คือคุณจะต้องมีข้อมูลเลนส์ที่คุณใช้ว่า ช่วงไหนคือช่วยที่ให้ความคมชัดมากที่สุด ความรู้นี้อาจจะได้มาจากการค้นหาในอินเตอร์เน็ต หรือจากการทดลอง สังเกต รวบรวมข้อมูลด้วยตัวคุณเอง
โฟกัสที่ดวงตา
หลักการทั่วไป ถ้ามี “ดวงตา” อยู่ในภาพ ไม่ว่าจะเป็นดวงตาของคน หรือสัตว์ แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ไม่ว่าเล็กแค่ไหนก็จะเป็นจุด “ศูนย์รวมความสนใจ” ของภาพภาพนั้นโดยอัตโนมัติ ความคมชัดที่ดวงตา จะพลอยทำให้ภาพโดยรวมดูเป็นภาพที่ “คมชัด” ไปด้วยโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าหากว่า ส่วนอื่นชัดหมด แต่ดวงตาไม่คมชัด ภาพทั้งภาพก็จะดูเหมือนขาดความคมชัดตามไปด้วย
ถ่ายด้วย ISO ต่ำสุดเสมอถ้าเลือกได้
ถ้ากล้องของคุณมี ISO ต่ำสุดที่ 100 ก็จงใช้ 100 เป็นหลัก ยกเว้นแสงน้อยจริงๆ จำเป็นสุด ๆ ค่อยเพิ่มไปเป็น 200 หรือมากกว่า มีผู้ใช้กล้องจำนวนมาก นิยมตั้งค่า ISO เป็น Auto นั่นหมายความว่า คุณมีโอกาสจะได้ภาพที่ไม่สั่นไหว แต่สิ่งที่แถมมาเมื่อต้องถ่ายภาพในที่มีแสงน้อย คือสีสันตุ่นๆ มี Noise เต็มทั่วไปทั้งภาพ รวมทั้งมีลักษณะโดยรวมเหมือนภาพที่ถ่ายจากกล้องคอมแพ็คทั่ว ๆ ไปทั้งๆ ที่เป็นกล้อง DSLR ที่น่าจะให้คุณภาพได้ดีกว่านี้ เป็นต้น ที่สำคัญก็คือ การตั้ง ISO แบบนี้ จะทำให้คุณเคยชินกับการไม่พยายามถ่ายภาพด้วยวิธีการหรือเทคนิคอื่นๆ ที่ให้ภาพซึ่งดูดีกว่านี้
บางครั้ง โฟกัสแบบแมนนวล อาจจะเหมาะกว่าออโต้โฟกัส
โดยทั่วไปแล้ว กว่า 90% ของการถ่ายภาพ ระบบออโต้โฟกัสจะให้ผลที่น่าพอใจ แต่ในการถ่ายภาพบางกรณี ระบบออโต้โฟกัสก็ทำให้ถ่ายลำบากไปเลยก็มี เข่น การถ่ายภาพแบบโคลสอัพ แบบมาโคร ถ่ายภาพที่มีแสงน้อยมากๆ หรือถ่ายภาพที่วัตถุหลักไม่อยู่บริเวณจุดโฟกัส แต่อยู่บริเวณขอบภาพ เป็นต้น การพยายามใช้ออโต้โฟกัสในกรณีเช่นนี้ บ่อยครั้งที่คุณจะได้ภาพซึ่งไม่คมชัดตรงจุดที่ต้องการ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ ปิดระบบออโต้โฟกัส แล้วทำการโฟกัสแบบแมนนวลแทน
เทคนิคที่หวังผลได้แน่นอนสำหรับกล้องที่มีระบบ Live View คือมองภาพที่จะถ่ายบนจอ LCD เปิดระบบนี้ เมื่อเห็นภาพในจอแล้ว ให้คุณเลื่อนกรอบเลือกโฟกัสไปยังจุดที่คุณต้องการให้ชัดที่สุด แล้วกดปุ่มซูมภาพขึ้นมา จากนั้นก็หมุนวงแหวนโฟกัสจนวัตถุนั้นชัดที่สุด แล้วก็ถ่ายภาพตามปกติ จะมีโอกาสได้ภาพที่คมชัดมากกว่าการหวังพึ่งออโต้โฟกัสเพียงอย่างเดียว
ทำความสะอาดอุปกรณ์เสียบ้าง
ฝุ่น รอยนิ้วมือ และอีกสารพัดสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ทั้งบริเวณหน้าเลนส์ ท้ายเลนส์ รวมทั้งชิ้นเลนส์บางชิ้น ก็เป็นสาเหตุทำให้ภาพขาดความคมชัดได้เหมือนกัน การหักเหของแสงที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวของสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ลดทอนคุณภาพของภาพได้อย่างมาก หมั่นทำความสะอาดเลนส์ของคุณเสมอ รวมทั้งตรวจสอบฝุ่นหรือสิ่งแปลกปลอมบนเซนเซอร์รับภาพด้วย ถ่ายภาพท้องฟ้าสีเรียบๆ ดู ถ้ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในอุปกรณ์ของคุณ คุณก็จะมองเห็นมันปรากฏอยู่บนภาพที่คุณถ่าย จัดการเอามันออกเสียให้สะอาดเอี่ยมเป็นประจำ ถ้าทำด้วยตัวเองไม่ได้ ส่งให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการ หรือร้านรับทำความสะอาดอุปกรณ์ถ่ายภาพทั่วไป
ใข้งานอุปกรณ์ให้เหมาะสม
ผมมีเลนส์ 70-200 f4L IS อยู่ตัวหนึ่ง ซื้อมาโดยไม่มี Collar แถมมาให้ด้วย ปกติคุณภาพของเลนส์ตัวนี้ถูกใจมาก มีอยู่วันหนึ่ง ผมใช้เลนส์ตัวนี้ ถ่ายภาพโดยใช้ขาตั้ง โดยติดฐานของขาตั้งกล้องไว้บนตัวกล้อง ภาพที่ออกมาไม่คมชัดอย่างที่ต้องการ เรียกได้ว่า “ผิดฟอร์ม” ของเลนส์ไปเป็นอันมาก แรก ๆ ก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร จนกระทั้งผมเปิดระบบ Live View แล้วซูมภาพที่จะถ่ายขึ้นมาดูในจอ LCD ผมก็ถึงบางอ้อ เนื่องจากภาพที่เห็นในจอนั้นสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา อันเกิดจากความไม่สมดุลของความยาวเลนส์ที่ยื่นออกไปมากจากตัวกล้อง น้ำหนักของเลนส์ทำให้สั่นไหวต่อเนื่องเพราะลมพัดต่อเนื่องค่อนข้างแรง ซึ่งการสั่นไหวนี้ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แม้ว่าจะอยู่บนขาตั้งที่แข็งแรงได้มาตรฐานอยู่แล้วแต่ก็ยังสั่นเพราะลมแรงพอนั่นเอง หลังจากนั้น จึงหา Collar มาใช้ (ซื้อจากอีเบย์ราคาไม่กี่ร้อยบาท แต่ถ้าใครมีของแท้ก็จะมั่นใจในความแข็งแรงมากขึ้นไปอีก) ปรากฏว่า อาการดังกล่าวก็หมดไป ได้ภาพที่คมชัดอย่างที่ควรจะเป็นในสถานการณ์ที่ลมพัดระดับเดียวกัน ดังนั้น บางครั้งการใช้อุปกรณ์จึงต้องใช้ให้ถูกต้องเหมาะสมกับคุณลักษณะเฉพาะตัวของมันด้วย
ตัดสินใจให้เด็ดขาด
การถ่ายภาพบางประเภท เช่น ภาพโคลสอัพ หรือมาโคร ช่วงระยะชัดลึกของภาพมีน้อยมาก บางครั้งวัตถุไม่ได้แบนราบ แต่มีรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม หรือมีเลเยอร์หลายๆ รูปทรงซ้อนกันอยู่ การตัดสินใจเลือกจุดโฟกัสที่ถูกต้อง ตรงจุดที่เป็น “หัวใจ” ของภาพนั้นๆ ไม่จำเป็นที่ภาพจะคมชัดทุกส่วนในภาพ ถ้าคุณเลือกจุดโฟกัสได้ถูกต้องแม่นยำ ภาพทั้งภาพจะดูเป็นภาพที่ “คมชัด” โดยอัตโนมัติ
สำหรับภาพที่มีดวงตาเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย การโฟกัสที่ดวงตาจะค่อนข้างปลอดภัย แต่ถ้าเป็นวัตถุทั่วๆ ไป การเลือกตำแหน่งที่จะโฟกัส เป็นทักษะสำคัญที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน การมองวัตถุและตัดสินใจให้เด็ดขาดว่าจะโฟกัสตรงจุดไหน ไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับมือใหม่ แต่ข่าวดีก็คือ สิ่งเหล่านี้ฝึกฝนได้ ฝึกฝนจากการดูภาพมากๆ จากการลองถ่ายมากๆ แล้วคอยสังเกตผลที่ได้ ดูว่าจุดชัดเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ในภาพ ทำให้ส่วนที่เบลอในภาพที่มีอยู่มากมาย ด้อยความสำคัญลงไปได้อย่างไร
ใช้จุดโฟกัสให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เมื่อเรามองเข้าไปในวิวไฟน์เดอร์ กล้องถ่ายภาพแต่ละรุ่น ให้จำนวนจุดโฟกัสมามากน้อยไปเท่ากัน มีตั้งแต่ไม่กี่จุดไปจนร่วมครึ่งร้อยในรุ่นมืออาชีพ ว่ากันจริงๆ แล้ว กล้องถ่ายภาพรุ่นสูงๆ มีราคาแพง จำนวนจุดโฟกัสก็ถือเป็นตัวกำหนดราคาอย่างหนึ่งเลยล่ะครับ สำหรับมืออาชีพคงไม่มีปัญหา คงจะสามารถใช้ประโยชน์จากจุดโฟกัสที่ให้มาได้เต็มที่ แต่นักถ่ายภาพระดับเริ่มต้นหรือมือสมัครเล่นทั่วไป ยังใช้จุดโฟกัสกันอยู่ 2 แบบเป็นหลัก คือ เลือกจุดโฟกัสตรงกลางจุดเดียว หรือไม่ก็เปิดใช้ทุกจุดที่มี ปล่อยให้กล้องทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดชะตากรรมความคมชัดของภาพตามใจชอบ (ซึ่งแน่นอนว่า บ่อยครั้งที่ชะตากรรมของภาพที่ได้ อยู่ในขั้นเลวร้ายสุด ๆ ชนิดต้องลบทิ้งอย่างเดียว) การเลือกจุดโฟกัสให้ถูกต้อง จะช่วยได้ภาพที่คมชัดในเปอร์เซ็นต์ที่มากขึ้น เพียงแต่ต้องฝึกใช้ชำนาญ กล้องแต่ละรุ่นมีวิธีการเลือกจุดโฟกัสไม่เหมือนกัน ก็ต้องไปศึกษาเอาตามคู่มือการใช้กล้องรุ่นที่คุณใช้กันเอาเองครับ ในที่นี้ จะกล่าวถึงแต่เพียงหลักการกว้างๆ ของการเลือกจุดโฟกัสเท่านั้น
ในการถ่ายภาพอะไรที่แบนๆ เรียบๆ ไม่ค่อยมีมิติตื้นลึก ไม่มีเลเยอร์ซ้อนหลาย ๆ ชั้น เช่นถ่ายภาพผนัง กำแพง หรือวิวทิวทัศน์กว้างๆ ไกลๆ ที่มีระยะชัดลึกสูงมาก การใช้จุดโฟกัสตรงกลาง หรือเปิดหมดทุกจุด ก็พอจะมีโอกาสได้ภาพที่ดีอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่แนะนำให้นักถ่ายภาพระดับจริงจัง เคยชินกับการใช้จุดโฟกัสทั้งสองแบบนี้ เราต้องทำตัวให้ชินกับการเลือกจุดโฟกัสด้วยตัวเองเท่านั้นทุกครั้ง ทำให้เป็นนิสัย เมื่อมองเข้าไปในกล้อง อันดับแรก ลองแตะปุ่มชัตเตอร์ดูก่อนว่า เราเลือกจุดโฟกัสจุดไหนเอาไว้ ถ้าไม่เหมาะ หรือไม่ตรงกับจุดโฟกัสที่เราต้องการจะถ่ายในขณะนั้น ก็ทำการเลื่อนให้ตรงหรือใกล้เคียงจุดที่เราต้องการโฟกัสที่สุดทันที ยกตัวอย่างเช่น
ภาพบุคคลภาพนี้ ถ้าเลือกโฟกัสตรงกลางหรือเลือกไว้หมดทุกจุดจนเคยชิน ยกกล้องถ่ายภาพภาพแล้วไม่สนใจดูและปรับใหม่ ภาพจะเสียทันที คือดวงตาคนจะมีโอกาสน้อยมากที่จะคมชัด ถ้าเลือกจุดเดียวตรงกลาง ภาพจะชัดบริเวณลำคอ ดังนั้น จึงควรเลือกจุดโฟกัสไปบนจุดบนสุด ใกล้เคียงกับดวงตา เมื่อโฟกัสที่ดวงตาแล้ว ขยับกล้องอีกเล็กน้อยก็กดชัตเตอร์ได้ทันที ถามว่า แล้วเราจะเอาจุดกลางไปโฟกัสดวงตา แล้วค้างปุ่มชัตเตอร์ไว้เพื่อจัดองค์ประกอบใหม่จะได้หรือไม่ ตอบว่า ได้ครับ แต่ไม่แนะนำ เพราะว่าเราต้องขยับกล้องอีกตั้งเยอะกว่าจะได้องค์ประกอบที่ต้องการ โอกาสที่หลุดโฟกัสมีเยอะมาก ทั้งการเคลื่อนของกล้อง และการขยับใบหน้าของแบบซึ่งอาจจะเกิดจากความไม่ตั้งใจก็เป็นได้ จุดโฟกัสที่มีมากจะมีประโยชน์มากเมื่อถ่ายภาพในลักษณะนี้
ภาพนี้ก็เลือกใช้จุดโฟกัสด้านบนสุดเช่นกัน เนื่องจากเหตุผลเดียวกับภาพที่แล้ว คืออยู่ใกล้ดวงตาที่สุด และเราต้องการโฟกัสดวงตาเป็นหลัก
ภาพนี้ก็เช่นกัน ผมต้องการโฟกัสโดยเน้นที่องุ่นพวงใหญ่ (ซึ่งคิดว่า ช่างภาพส่วนใหญ่ถ่ายภาพแบบนี้ ก็ต้องเลือกแบบนี้เหมือนกัน) ถ้าเลือกจุดโฟกัสไว้ที่จุดกลางจุดเดียว หรือเลือกหมดทุกจุด รับรองว่า โอกาสได้ภาพคมชัดที่วัตถุหลัก คือองุ่นพวงใหญ่ จะมีเพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง จะต้องเลือกจุดใดจุดหนึ่งในสามจุดทางด้านซ้ายมือเท่านั้น
ภาพนี้ขึ้นอยู่กับว่า ผู้ถ่ายต้องการให้ชิงช้า คมชัดที่จุดใดเป็นหลัก แม้ว่าต้องการชัดครอบคลุมทั้งภาพ แต่ว่าก็ต้องเลือกจุดโฟกัสที่ดีและถูกต้องที่สุดอยู่นั่นเอง ผมตั้งใจเลือกใกล้ ๆ ดวงอาทิตย์เพื่อผลในการวัดแสงด้วยส่วนหนึ่ง และหลักการโฟกัสภาพแบบนี้ก็คือ เมื่อโฟกัสที่บริเวณด้านล่างของชิงช้า จะได้ความคมชัดด้านหลังจุดโฟกัสเป็น 2 เท่าของด้านหน้าจุดโฟกัส ดังนั้นจึงต้องเลือกบริเวณนี้ ภาพที่ได้จึงคมชัดทั้งหมดตามต้องการ ตามหลักการของ Hyper Focus หรือบางสำนักเขาก็เรียกว่า Hyper Focal (จริง ๆ แล้วเทคนิคนี้ละเอียดมากๆ เขียนบทความใหม่ได้อีกหัวข้อเลยทีเดียว ผู้สนใจ ลองใช้ Google ค้นหาคำว่า Hyper Focus หรือ Hyper Focal ดูครับ)
ภาพนี้ก็เช่นเดียวกัน ก่อนถ่ายภาพก็ต้องศึกษาหรือคำนวณก่อนว่า พลุจะถูกจุดขึ้นที่ตำแหน่งประมาณจุดไหน แล้วก็ทำการโฟกัสจุดนั้นไว้ล่วงหน้า ในที่นี้ ผมเลือกจุดโฟกัสด้านขวามือสุดโฟกัสบริเวณศาลาริมน้ำของโรงแรม ซึ่งคาดว่าพลุน่าจะขึ้นในระนาบเดียวกันนั้น โฟกัสเสร็จไม่ต้องคิดอะไรมาก ปิดระบบออโต้โฟกัสทันที เราก็จะได้จุดโฟกัสที่แน่นอนในตอนถ่ายภาพจริง ไม่เสียเวลากับการหาโฟกัสในที่มืดซึ่งไม่สะดวก อีกทั้งต้องทำเวลาในการกดชัตเตอร์แข่งกับพลุที่ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าตลอดเวลา
การเลือกจุดโฟกัสให้ถูกต้องเหมาะสมกับภาพ และเหมาะสมกับจุดที่ต้องการโฟกัสในภาพ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ควรฝึกการเลือกจุดโฟกัสในกล้องรุ่นที่คุณใช้อยู่ให้ชำนาญ จนสามารถทำได้โดยไม่ต้องละสายตาจากวิวไฟน์เดอร์ หาก คุณสามารถควบคุมการเลือกจุดโฟกัสได้เอง โดยไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกล้องในการตัดสินใจ หรือไม่ได้ใช้แค่เพียงจุดโฟกัสกลางภาพเพียงจุดเดียวแล้ว โอกาสที่คุณจะได้ภาพที่คมชัดในจุดที่ต้องการก็มีมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดอารมณ์เสียกับภาพประเภทตั้งใจถ่ายวัตถุอย่างหนึ่ง แต่ความคมชัดดันไปตกอยู่กับวัตถุอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สำคัญอะไรกับภาพเลย หรือตั้งใจถ่ายหน้า แต่ความคมชัดกลับไปอยู่ที่พุง หรือไม่ก็ถ่ายภาพคนที่มีภูเขาเป็นฉากหลัง ภูเขาคมกริบ แต่คนเบลอดูไม่รู้ว่าเป็นใคร อย่างนี้เป็นต้น
ภาพประกอบบทความนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย ห้ามนำไปใช้งานอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตในทุกกรณี
พบเห็นหรือสงสัยว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพต่างๆ ในบทความนี้ กรุณาแจ้ง This email address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it.