นึกย้อนไปแล้ว ผมถ่ายภาพมานานมาก ตั้งแต่สมัยเรียนสาขาถ่ายภาพจากคณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ จบมาก็ทำงานถ่ายภาพกับสไตล์ลิสต์ที่ดิฉัน ไปเป็นหัวหน้าช่างภาพให้กับนิตยสารชั้นนำหลายเล่ม
เป็นช่างภาพแฟชั่นที่แพรวสุด ออกจากการถ่ายภาพให้กับนิตยสารเมื่ออายุ 28 ปี มาเป็น freelance ถ่ายงานโฆษณาให้กับหลายแบรนด์ดัง จนงานของผมเริ่มอิ่มตัว ผมเบื่อหน่ายกับวงการ งานที่ทำ
ชีวิตที่ดูวุ่นวายกับการแสวงหาชื่อเสียงเงินทอง ประเหมาะกับที่ช่วงนั้นก็มีปัญหาเรื่องความรักเข้ามา เพราะแฟนที่คบกันมาเกือบสิบปีนอกใจไปมีคนอื่น
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม...
"ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม"
เมื่ออายุ 31 ปี ผมเริ่มหันหน้าเข้าหาธรรมะ ศึกษาธรรมะ และปฏิบัติอย่างจริงจัง เอาชีวิตปฏิบัติบูชาถวายพระพุทธเจ้า จนผมได้รู้ธรรมสมควรแก่ธรรม เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ นิสัยจิตใจก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเหมือนคนละคน
เมื่อก่อนผมเป็นช่างภาพที่มีชื่อด้านความโหด ขาวีน และติสท์มากที่สุดคนหนึึ่งในวงการ นางแบบร้องให้มาหลายคน ทีมงานก็กลัว
ชีวิตส่วนตัวก็อารมณ์ร้อนอย่างร้ายกาจ ขับรถสปอร์ตแต่งซิ่ง โมเครื่องแรงอีกต่างหาก
จากเดิมที่มีชีวิตอยู่เพื่อกิน กาม เกียรติ ...ผมกลายเป็นคนที่ใจดีมากๆ ไม่โกรธไม่ทะเลาะกับใคร ไม่คิดอยากจะโด่งดังมีชื่อเสียงหรือร่ำรวยเป็นเศรษฐี ผมมีความเบิกบานใจทุกวัน
จากที่มีศัตรูมากมายก่ายกอง กลายเป็นคนที่เป็นมิตร ดึงดูดแต่คนดีๆเข้ามาในชีวิต มีกัลยาณมิตรมากมาย ผมใช้ชีวิตอย่างสันโดษ งานหลักในชีวิตคือการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ส่วนงานทางโลกนั้นเพื่อใช้อิงอาศัย
เมื่อเป้าหมายในชีวิตเปลี่ยนไป ผมจึงเริ่มคิดหางานที่จะทำให้ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกับโลกมาจนเกินไป เพื่อเอื้อแก่การปฏิบัติธรรมและการดำเนินชีวิตของผม
นี่เป็นจุดเริ่มต้น ที่ผมได้รู้จักกับการถ่ายภาพสต็อค
ผมเริ่มสมัครขายภาพสต็อคมาด้วยตัวคนเดียว ในตอนนั้น ไม่มีคู่มือของอาจารย์สุระ ไม่มีเวปกรุ๊ปสต็อคชาวไทย เพราะผมเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจจากการขายภาพสต็อค ซึ่งในขณะนั้นบ้านเราไม่มีใครสนใจเลย
เมื่อพูดถึงรายได้จากการขายภาพสต็อค ก็อาจจะมองเป็นเรื่องของค่าน้ำค่าไฟเล็กๆน้อย แถมยังดูตลกมาก เมื่อช่างภาพที่ค่าตัวต่องานเรียกว่าสูงอย่างผม สนใจมาทำงานโหลดละสิบบาท
ผมถ่ายภาพและส่งสอบที่ SS และ IS รอบเดียวผ่าน ทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ ยังจำได้ วันแรกที่มียอดโหลดเข้ามา ผมดีใจมากที่มีคนโหลดจริงๆ แม้ว่าจะเป็นเงินที่น้อยมากๆก็ตาม จนได้รับเงินโอนมาก้อนแรก 100 เหรียญ
ผมเริ่มมีความหวังเล็กๆขึ้นมาว่าเขาโอนให้จริง แต่ก็ยังไม่รู้อะไรอยู่ดี ว่าจะต้องทำยังไงให้สามารถมีรายได้พอเลี้ยงตัวได้ ปีแรกผมมีรูปอยู่ใน portfolio ราวๆ 200 รูป หลังจากนั้นผมก็ปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่ได้เข้าไปทำอะไรเลย
จนมาวันหนึ่ง ผมได้รู้จักกับเวปแห่งนี้ มีน้าสุระเป็นหัวหน้าเผ่า คุณณัฐเป็นฝ่ายวิชาการ แล้วก็ป๋าแจนนูนเป็นการเงิน
ที่นี่ทำให้ผมเริ่มเห็นความเป็นไปได้ ที่จะทำสต็อคเพื่อเลี้ยงชีพ มากกว่าที่จะเป็นงานอดิเรก
ผมเก็บความคิดนี้เองไว้ลึกๆในใจ ว่าวันหนึ่งน่าจะเป็นไปได้ จุดหนึ่งที่ทำให้ทึ่งมากๆครั้งแรกก็คือเพื่อนๆมีรูปใน port หลักพันกัน ทั้งๆที่เพิ่งทำมาได้ไม่กี่เดือน ผมตั้งเป้าไว้ว่า วันนึงเราต้องมี 1,000 รูปให้ได้บ้าง
ปีนั้นผมก็ส่งภาพอยู่สองเดือนเหมือนเดิม ที่เหลือทั้งปี ก็ยังทำงานถ่ายภาพโฆษณาอยู่ ขณะนั้นมีรูปใน portfolio เพิ่มมาอยู่ที่ 500 กว่ารูป แล้วก็มีเหตุให้มาสะดุดยาวอีกเป็นปีคือการไปถ่ายงานเว็ดดิ้ง
ผมถ่ายภาพเว็ดดิ้งเพราะแฟนนึกสนุก อยากทำขึ้นมา รายได้ถือว่าสูงมาก ถ่ายสองคู่ได้เงินแสนกว่าบาท แต่ยิ่งทำผมยิ่งเหนื่อย ยิ่งล้า ยิ่งรู้สึกว่าต้องเลิกทำให้เร็วที่สุด ผมอยากเอาเวลาที่ต้อง process รูปให้ลูกค้าเป็นพันๆรูป
มาทุ่มเท ทำภาพส่งสต็อคมากกว่า เพราะงานเว็ดดิ้ง ทำให้ผมต้องหยุดทำภาพสต็อคไปปีนึงเต็มๆ มันไม่มีเวลาหายใจหายคอเลย ก่อนที่จะมีเหตุการณ์พลิกผันอีกครั้งที่ทำให้ได้กลับมาสู่วงการสต็อคอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ
เดี๋ยวมาต่อ