Stockphotothailand ชุมชนคนขายภาพออนไลน์ เพื่อคนขายภาพถ่าย ภาพเว็คเตอร์ คลิปวิดีโอ ออนไลน์

ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับผม

วันนี้ผมได้ทำให้มันถูกต้องแล้วครับ

จ่ายไปแล้ว ...........ใจหายแว้บบบบบเลย T_T

^
^
เถอะค่ะ.... ไม่เยอะไปกว่า ค่าจอ กับ wacom intuos 5 หรอกค่ะ

โดนเข้าแล้ว

ไปทำมาเรียบร้อยแล้ว คราบบ

ผมใช้ชื่อแฟนทำ ตอนนี้ยอด ทั้งปีน่าจะเสียภาษีได้แล้ว แต่ เวลาโอนจากpaypal จะโอนเข้าชื่อบัญชีผม
แบบนี้ ต้องเสียภาษีในชื่อใครครับ ขอบคุณครับ

ตามนั้นหล่ะครับ

โอ๊ว...ดีใจจังอย่างน้อยผมก็คิดตรงเหมือนคุณเอ๋อ๋อย....ปลอดภัยไว้ก่อนครับ...
ขอบคุณมากครับคุณเอ๋อ๋อย...

ขอบคุณ คุณ vichie81 มากครับสำหรับความรู้ดีๆ ผมเองก็สันสน งงๆ กับระบบภาษีทางด้านนี้อยู่นาน ได้มากระจ่างเอาที่กระทู้นี้เอง
เป็นอีกหนึ่งเสียงที่สนันสนุนการเสียภาษีให้ถูกต้องครับ จะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง

ผมมีข้อสงสัยนิดนึงครับ เวลากรอกภาษีในหมวด 40(3) แล้วเว็บสรรพกรบังคับให้กรอก "เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของ ผู้จ่ายเงินได้"
(ให้บันทึกเลขผู้จ่ายเงินได้ เพียงรายเดียวที่จ่ายเงินได้สูงสุด) ของผมเป็น SS ซึ่งในเอกสารภาษีที่เราดาวน์โหลดจากเว็บ มันคือเลขของ
"Withholding agent’s EIN" หรือเปล่าครับ?

ขอบคุณครับ

เยี่ยมมากครับ

ไม่ทราบว่ามีใครพอจะทราบเรื่องเกี๋ยวกับ ITIN code กันหรือไม่ครับ... คือผมศึกษาแล้วงงๆ
เอาข้อมูลที่ผมศึกษามาก่อนก็แล้วกันนะครับ ส่วนคำถามจะอยู่ด้านล่างถัดลงไป

ข้อมูล
วันนี้ผมพึ่งลองสมัคร Fotolia กำลังกรอก Form W-8 BEN อยู่และหาข้อมูลเกี่ยวกับภาษีดู ได้ข้อมูลมาว่า
1.) ถ้าเราสมัครแบบไม่ใส่ ITIN (สมัครแบบ YOU ARE "NOT" A RESIDENT OF A COUNTRY THAT HAS A TAX TREATY WITH THE USA) จะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย (คือที่ US) 30%
2.) แต่พอผมศึกษาเพิ่มเติมและพบว่าประเทศไทยมีคล้ายๆ กับสนธิสัญญาทางภาษีกับ US อยู่ คือสมัครแบบ YOU ARE A RESIDENT OF A COUNTRY THAT HAS A TAX TREATY WITH THE USA สามารถลดหย่อนภาษีหัก ณ ที่จ่ายเหลือน้อยกว่า 30% (เห็นว่าเหลือ 15% นะครับ ผมไม่แน่ใจ ....ซึ่งผมเข้าใจว่า จะทำให้เราเสียภาษีน้อยลง... รึปล่าวหว่า ฮ่าๆๆ) โดยผมอ่านใน W-8BEN instruction แล้วเราต้องกรอก Form W-7 (ซึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ครับ ยังหาไม่เจอ) เพื่อใช้ในการขอ ITIN Code (เค้าเขียนว่าใช้เวลา 4-6 week) และการขอ ITIN มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง (เห็นว่า 250 USD)

คำถามของผมนะครับ
1.) ผมเข้าใจข้างบนถูกไหมครับ 5555+ อ่านเอง แปลเอง ได้ตามนั้นครับ... ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ
2.) มีใครเคยขอ ITIN code นี่มั่งแล้วหรือไม่ครับ?
3.) สรุปแล้ว ITIN มีความจำเป็นหรือไม่ครับ? เพราะหาข้อมูล มีบางเว็ปบอกว่าไม่ต้องการ / บางเว็ปบอกว่าต้องการแต่ยุ่งยากเลยยอมเสีย 30% (แต่เว็ปที่ไม่ต้องการ มันเป็นปี 2010 หรือเก่ากว่าทั้งนั้น เลยไม่มั่นใจ)

ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคำตอบ และทุกข้อมูลครับ

สมมุติเราเบิกเงินเข้า Paypal แล้วเราซื้อของเข้าประเทศแทนการเบิกเงินเข้าประเทศอย่างนี้แสดงว่าเราก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินส่วนที่ซื้อของใช่ไหมครับแต่จะเสียส่วนที่เบิกเป็นเงินเข้ามาผมคิดถูกรึเปล่าครับ

ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆครับ ได้ความรู้ขึ้นมากเลย

พอดีเจอข้อมูลเกี่ยวกับ ข้อกฎหมาย : มาตรา 40(3) มาตรา 70 มาตรา 27 ตรี มาตรา 83/6(2) และมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งกรมสรรพากรได้มีข้อหารือ และ แนววินิจฉัย สำหรับ ภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีซื้อขายรูปภาพผ่ายระบบอินเทอร์เน็ต
เอามาบอกกล่าวกันไว้เพิ่มเติมค่ะ



---------------------------------------------------------------------------

มาตรา 40(3) มาตรา 70 มาตรา 27 ตรี มาตรา 83/6(2) และมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
ข้อหารือ 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล บริษัทฯ ประกอบกิจการธุรกิจซื้อขายรูปภาพ (Stock Photo) เป็นตัวแทนจำหน่ายรูปภาพลิขสิทธิ์ และจัดหารูปภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต บริษัทฯ มีเว็บไซต์ให้ลูกค้าเข้าไปดูภาพต่างๆ เมื่อ เลือกภาพที่ต้องการจะติดต่อบริษัทฯ เพื่อขอซื้อสิทธิในการใช้ภาพ และทำการดาวน์โหลดภาพเพื่อใช้ประกอบสื่อสิ่งพิมพ์ และ โฆษณาประชาสัมพันธ์ เช่น นำภาพไปประกอบในหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ตำราเรียน โปสเตอร์ ป้ายโฆษณา เป็นต้น บริษัทฯ ขายสิทธิในการใช้ภาพเพื่อนำไปใช้งานเท่านั้น ไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ กรรมสิทธิ์เป็นของเจ้าของภาพ การขายสิทธิใช้ภาพมี 2 ลักษณะ ดังนี้
(1) Right Managed มีกำหนดระยะเวลาในการใช้งาน และระบุลักษณะของการนำภาพไปใช้
(2) Royalty Fee ไม่จำกัดระยะเวลา จำนวนครั้งในการใช้งาน และสามารถนำภาพไปใช้ได้ตลอด
บริษัทฯ ซื้อภาพจากต่างประเทศโดยการดาวน์โหลดรูปภาพ (เป็นภาพถ่ายจากกล้อง) จากสื่ออินเทอร์เน็ต บริษัทฯ ต้องจ่ายค่าสิทธิให้กับเจ้าของภาพ เป็นบริษัทต่างประเทศในอัตราร้อยละ 60 จากยอดเงินที่บริษัทฯ ขายได้ หักภาษี เงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งภาษี แบบ ภ.ง.ด. 54 ในอัตราร้อยละ 15 และยื่นแบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบ ภ.พ.36 ในอัตรา ร้อยละ 7.0 แต่บริษัทในบางประเทศ เช่น แคนาดา ฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา แจ้งว่าตามอนุสัญญาภาษีซ้อนได้สิทธิ ถูกหักภาษีเงินได้ ในอัตราร้อยละ 5
บริษัทฯ หารือว่า
(1) ค่าลิขสิทธิ์กับค่าสิทธิ เป็นรายการเดียวกันใช่หรือไม่
(2) ภาพที่ถ่ายจากกล้องจัดเป็นงานศิลปะ หรือศิลปกรรม หรือสิทธิประเภทใด
(3) ตามอนุสัญญาภาษีซ้อน คำว่า งานศิลปะ และศิลปกรรม เป็นตัวเดียวกันหรือไม่
(4) การซื้อรูปภาพจากบริษัทในประเทศที่มีอนุสัญญาภาษีซ้อน ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราใด
(5) กรณีต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ส่วนที่นำส่งเกินบริษัทฯ ขอคืนภาษีได้หรือไม่ ต้องใช้หลักฐานและเวลาการขอคืนอย่างไร
(6) กรณีไม่มีการขอคืนส่วนต่างในอัตราร้อยละ 10 บริษัทผู้รับเงินในต่างประเทศ นำภาษีในอัตราร้อยละ 10 ไปเป็น เครดิตได้หรือไม่
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ มีรายได้ 2 ประเภท ดังนี้
(1) ซื้อมาขายไป บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่ายรูปภาพลิขสิทธิ์ และจัดหารูปภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เมื่อลูกค้าต้องการซื้อภาพที่บริษัทฯ เป็นตัวแทนจำหน่าย ลูกค้าเข้าไปดูรูปภาพที่เว็บไซด์บริษัทฯ และบริษัทฯ ซื้อรูปภาพจากต่างประเทศโดยการดาวน์โหลดผ่านระบบอินเทอร์เน็ต นำส่งให้ลูกค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
(2) งานให้บริการ บริษัทฯ ให้บริการด้านภาพดิจิตอล (DIGIAL IMAGE SERVICE) เป็นการบริการสแกนภาพปริ้น และฟิล์ม (Scan) ตกแต่งรูปภาพ (Retouch) และสร้างคำจำกัดความของรูปภาพ (Keyword) ลูกค้าที่ใช้บริการเป็นลูกค้าที่อยู่ใน ต่างประเทศ ลูกค้าส่งภาพทางระบบอินเทอร์เน็ต หรือบริษัทฯ ขนส่งระหว่างประเทศ (FedEx DHL UPS) เมื่อให้บริการเสร็จ บริษัทฯ ทำการส่งออกไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีการเก็บหรือนำมาใช้ในประเทศไทย
วิธีการส่งออกมี 2 วิธี ดังนี้
(1) ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต บริษัทฯ เรียกเก็บเงินเฉพาะค่าบริการ
(2) นำงานที่ทำเสร็จบันทึกลงซีดี หรือดีวีดี (Burning to DVD/CD Service) แล้วส่งออกไปให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ขนส่งระหว่างประเทศ (FedEx DHL) บริษัทฯ เรียกเก็บค่าบริการงาน และค่าบริการบันทึกข้อมูลลงซีดี และดีวีดี งานบริการส่งออกและนำไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีการเก็บหรือนำมาใช้ในประเทศไทย
บริษัทฯ หารือว่า ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร ในอัตราใด และใช้หลักฐานอะไร
แนววินิจฉัย 1. ตาม 1. กรณีบริษัทฯ ซื้อรูปภาพที่ถ่ายจากกล้องถ่ายรูปจากบริษัทต่างประเทศ ส่งรูปภาพโดยระบบอินเทอร์เน็ต เมื่อ บริษัทฯ จ่ายค่าสิทธิให้กับบริษัทต่างประเทศโดยบริษัทฯ ไม่ได้รับลิขสิทธิ์ในรูปภาพนี้นอกจากการมีสิทธิในการขายรูปภาพให้กับ ลูกค้าเพื่อนำไปใช้งานเท่านั้น เป็นการได้สิทธิในการใช้ภาพถ่ายจากบริษัทต่างประเทศ เพื่อนำมาหาประโยชน์กับลูกค้าของบริษัทฯ เข้าลักษณะเป็นค่าสิทธิ ตามมาตรา 40(3) แห่งประมวลรัษฎากร เมื่อบริษัทฯ ขายภาพถ่ายให้กับลูกค้าของบริษัทฯ และมีข้อตกลง ต้องจ่ายค่าสิทธิให้กับบริษัทต่างประเทศเจ้าของภาพในอัตราร้อยละ 60 จากยอดเงินที่บริษัทฯ ขายได้ บริษัทฯ มีภาระภาษี ดังนี้
(1) บริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้แก่บริษัทต่างประเทศ ที่ไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย ดังนี้
(1.1) ประเทศแคนาดา บริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ของเงินที่จ่าย ให้แก่บริษัทฯ ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 12 ของอนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศแคนาดา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
(1.2) ประเทศฝรั่งเศส บริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ของเงินที่จ่าย ให้แก่บริษัทฯ ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 12 ของอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและ รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บ จากเงินได้
(1.3) ประเทศอังกฤษ บริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ของเงินที่จ่าย ให้แก่บริษัทฯ ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 13 ของอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ และไอร์แลนด์เหนือ กับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
(1.4) ประเทศอเมริกา บริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของเงินที่จ่าย ให้แก่บริษัทฯ ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 13 ของอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกา และรัฐบาล แห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงการรัษฎากร ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้
(2) กรณีบริษัทฯ มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมิน และนำส่งภาษีกรมสรรพากร แต่บริษัทฯ ได้นำส่งภาษีเป็น จำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องชำระ ถือได้ว่า บริษัทต่างประเทศ เป็นผู้ถูกหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่าย และนำส่งไว้เกิน บริษัทต่างประเทศมีสิทธิขอคืนจำนวนภาษีที่ถูกหักไว้เกินได้ โดยยื่นแบบ ค.10 ภายในสามปีนับแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลา ยื่นรายการภาษี ตามมาตรา 27 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับภาษีที่บริษัทต่างประเทศถูกบริษัทฯ หักไว้เกินในประเทศไทย จะถือเป็นเครดิตต่อภาษีแคนาดา ฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกา ของบริษัทต่างประเทศในประเทศแคนาดา ฝรั่งเศส อังกฤษ และอเมริกาหรือไม่ อย่างไร มิใช่ประเด็นที่ กรมสรรพากรแห่งรัฐบาลไทยจะต้องพิจารณาตามทางปฏิบัติที่กรมสรรพากรได้วางไว้
(3) กรณีบริษัทฯ จ่ายค่าสิทธิเป็นการตอบแทนให้กับบริษัทต่างประเทศในการได้ใช้รูปภาพ เข้าลักษณะเป็น "บริการ" การให้บริการดังกล่าว เป็นการให้บริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการในราชอาณาจักร เมื่อบริษัทฯ จ่าย ค่าบริการให้กับบริษัทต่างประเทศ จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 7.0 ของค่าบริการทั้งหมด ตามมาตรา 77/1(10) มาตรา 77/2 และมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยใช้แบบนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม แบบ ภ.พ. 36 ภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินให้ผู้ประกอบการ ตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย การนำส่งภาษีเงินได้ การนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม และการยื่นรายการ ลงวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2544
2. ตาม 2(1) กรณีบริษัทฯ ได้รับค่าสิทธิเป็นการตอบแทนในการให้ลูกค้าที่อยู่ในต่างประเทศได้ใช้รูปภาพที่ถ่ายจาก กล้องถ่ายรูป ลิขสิทธิ์ในรูปภาพเป็นของเจ้าของรูปภาพที่บริษัทฯ ไปซื้อมาจากบริษัทต่างประเทศ เข้าลักษณะเป็น "บริการ" และได้ส่งผลของการให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด โดยลูกค้าในประเทศไทยไม่สามารถเข้าไปใช้ บริการได้ และบริษัทฯ มีหลักฐานแสดงการชำระราคาค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ (INVOICE) ในนามของบริษัทฯ จะทำให้บริษัทฯ ได้รับสิทธิในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) และข้อ 3 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543
3. ตาม 2(2) กรณีบริษัทฯ ได้รับการว่าจ้างจากลูกค้าที่อยู่ในต่างประเทศ ให้บริษัทฯ สแกนภาพและฟิล์ม ตกแต่งรูปภาพ และสร้างคำจำกัดความ เมื่อให้บริการเสร็จส่งออกไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด ไม่มีการเก็บหรือนำมาใช้ในประเทศไทย เข้าลักษณะ เป็น "บริการ" และได้ส่งผลของการให้บริการไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด โดยลูกค้าในประเทศไทยไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้ และบริษัทฯ มีหลักฐานแสดงการชำระราคาค่าบริการตามใบแจ้งหนี้ (INVOICE) ในนามของบริษัทฯ จะทำให้บริษัทฯ ได้รับสิทธิในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) และข้อ 3 ของ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

ค่อย ๆ อ่านกันนะคะพี่น้อง ท่านใดอ่านจบแล้วจะเกิดอาการเดียวกัน
คือ มึน ๆ งง ๆ ตกทอดกันไปสามเทือกเถาเหล่ากอ

สรุปสั้น ๆ อย่างนี้ดีกว่า

สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ ช่างภาพอิสระทั้งหลาย (พวกเรา ๆ เนี่ยล่ะค่ะ) ก็ใช้เกณฑ์เดียวกัน

1.กรณีประกอบกิจการแล้วมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี

ผู้ประกอบการซึ่งประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ และมีมูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) ในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออก ตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร (ปัจจุบันเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 432) พ.ศ.2548 ใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548) ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนฯ ภายใน 30 วันนับแต่

(1) วันที่มูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) ในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม (ปัจจุบันเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 432) พ.ศ.2548ใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548) หรือ

(2) วันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ สำหรับกรณีที่มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมขึ้นใหม่ หรือมีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมน้อยกว่าที่กำหนดไว้ก่อน

2.การประกอบกิจการให้บริการภาพถ่ายแก่ลูกค้าในต่างประเทศ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ หรือเป็นการส่งผลบริการทั้งหมดให้แก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ ถือเป็นการส่งออกบริการให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
แต่หากเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร แต่มิได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร

อ่านข้อสรุปคุณพัตแล้ว ก็ยังงงอยู่ดี เรื่องกฎหมาย มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากจริงๆ
แต่อนุมานได้ว่า ในบอร์ดนี้คงมีแต่คุณเอ๋อ้อยคนเดียว ที่ต้องเสียภาษี

ผมยังยืนยันนะครับ
ถ้าคุณมีเงินได้ในรูปแบบ บุคคล ก็จ่ายตาม 40(3) เท่านั้นครับ

ข้อมูลอัพเดทของการเสียภาษีปี 2555 ที่ผ่านมา
ผมเขียนลง Blog ไว้ที่นี่ไปอ่านได้นะครับจะ Detail มากกว่านี้
มี Case Study ให้อ่านครับ

[url]https://www.facebook.com/notes/videotimelapse-stock-by-vichie81/มาเสียภาษีให้ถูกต้องกันครับ/273648036096009[/url]

รับทราบครับคุณเอ๋อ้อย....

เอาใหม่ เมื่อกี้ใส่ URL Link ไม่ขึ้น

[url=https://www.facebook.com/notes/videotimelapse-stock-by-vichie81/มาเสียภาษีให้ถูกต้องกันครับ/273648036096009]คลิกที่นี่[/url]

ยังไม่ขึ้นอยู่ดี น่าจะเพราะมีภาษาไทย งั้น ก๊อป URL แปะกันเองนะครับ

กรณีที่พัดยกมา (Link สรรพากร) คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม

ุบุคคลธรรมดา ที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ต่อปี มีรายได้ที่ "ไม่ใช่รายได้ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม" ยังคงมีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่ะ

เงินได้ที่ได้รับการเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามลิงค์นี้



และ "การประกอบกิจการ" ที่ได้รับการเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม มีดังนี้



จะพบปััญหาจากการเสียภาษีย้อนหลังอยู่หลายกรณี เนื่องจากเข้าใจว่า บุคคลธรรมดา ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม



[url]http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums2/http/www.pantip.com/cafe/silom/topic/B5605952/B5605952.html
[/url]


--------------------------------------------------
อันนี้เป็นแนววินิจฉัยของสรรพากรค่ะ

(ผู้ประกอบการในที่นี้ หมายความรวมถึง นิติบุคคล และ บุคคลธรรมดา)

1.กรณีประกอบกิจการแล้วมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี
ผู้ประกอบการซึ่งประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการ และมีมูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) ในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่ออก ตามมาตรา 81/1 แห่งประมวลรัษฎากร (ปัจจุบันเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 432) พ.ศ.2548 ใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548) ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนฯ ภายใน 30 วันนับแต่
(1) วันที่มูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) ในการประกอบกิจการเกินมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม (ปัจจุบันเกินกว่า 1,800,000 บาทต่อปี ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 432) พ.ศ.2548ใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548) หรือ
(2) วันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ สำหรับกรณีที่มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมขึ้นใหม่ หรือมีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมน้อยกว่าที่กำหนดไว้ก่อน


2.การประกอบกิจการให้บริการภาพถ่ายแก่ลูกค้าในต่างประเทศ เข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ หรือเป็นการส่งผลบริการทั้งหมดให้แก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ ถือเป็นการส่งออกบริการให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2) แห่งประมวลรัษฎากร
แต่หากเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร แต่มิได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ตามมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร

--------------------------------------------------

ได้รับยกเว้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ให้เสียร้อยละ 0 แต่ยังคงต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม .............. (สรรพากรนี่เข้าใจยากจริง ๆ -_-") ^_^

อ่านแลเวก็งง และสงสัยอยู่ 2-3 เรื่อง

คำว่าผู้ประกอบการ คืออะไร มัความหมายกินถึงอะไรบ้าง
เราเป็นผู้ประกอบการหรือไม่ เพราะเราไม่ได้ขายเอง และขายผ่าน Agency
เรื่องใบกำกับภาษีต่างๆก็ไม่มี เพราะเราไม่ได้ขายของหรือขายบริการเลย
ซึ่งถ้าเราเป็น Agency เองอันนี้เนี่ยน่าจะเข้าข่ายแน่

และจาก http://www.rd.go.th/publish/7060.0.html
ผู้ประกอบการที่ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

3. ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
4. ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรและเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ที่กำหนดไว้ในประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ( ฉบับที่ 43) ฯ ลงวันที่ 29 มกราคม พ . ศ . 2536

เราน่าจะเข้าข่ายตรงนี้ครับ

พิมพ์ไปตั้งเยอะ ไหงส่งไม่เข้าหายเกลี้ยงหมดเบย!!

รายได้จากการขายภาพออนไลน์ ถือเป็นการ "ให้บริการ" อยู่ในข่ายต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%)


ต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และ ยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกวันที่ 15 ของเดือน (แจ้งยอดรายได้ที่ได้รับในแต่ละเดือน)
และยังต้อง ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ประจำปีด้วยเหมือนเดิม


ทีนี้เนี่ย "การให้บริการ" บางประเภทจะได้รับสิทธิเสียภาษีอัตราร้อยละ 0 เรียกว่า "การส่งออกบริการ"
ถ้ารายได้จากการขายภาพของเราอยู่ในลักษณะ "การส่งออกบริการ" ก็จะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอัตราร้อยละ 0


------------------------

เดี๋ยวมาต่อค่ะ

เข้ามางง ต่อปายยยยยย.....

มาตรา 85/3 ให้ผู้ประกอบการดังต่อไปนี้ไม่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(1) ผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร และเข้ามาประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักรเป็นครั้งคราว
(2) ผู้ประกอบการที่ให้บริการจากต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
(3) ผู้ประกอบการอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนดเมื่อมีเหตุอันสมควร
อธิบดีจะผ่อนผันให้ผู้ประกอบการตาม (1) หรือ (3) ซึ่งการประกอบกิจการ ของผู้ประกอบการดังกล่าวมีลักษณะและวิธีการตามที่อธิบดีกำหนด มีสิทธิขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นการชั่วคราวก็ได้
การยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราว และการออกใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราวให้เป็นไปตามแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด


ผมมองว่าเราเข้าข่าย (1) ครับ ดังนั้น (น่าจะ) ไม่จำเป็นต้องจด VAT

หรืออีกอย่างครับง่ายที่สุด
อย่าเอาเงินเข้าไทยเกินปีละ 1,800,000 บาทเป็นพอครับ


ซึ่งส่วนตัวเองผมก็ไม่มีความคิดจะเอาเงินเข้าไทยมากขนาดนั้นต่อปีอยู่แล้ว
หรือถ้าจะเอาเข้ามากแบบนั้น ก็จะเป็นปีที่ผมอยู่ไทย <180 วัน
ซึ่งแปลว่าเงินนั้นจะไม่เป็นรายได้อยู่แล้วครับ เพราะเงินได้เราเป็นเงินได้จากต่างประเทศนั่นเองตามนี้
http://www.rd.go.th/publish/552.0.html
2. เงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศไทย หมายถึง เงินได้ที่เกิดขึ้นหรือเป็นผลสืบเนื่องจากมี

2.1 หน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ หรือ
2.2 กิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือ
2.3 ทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ
* เงื่อนไข ผู้มีเงินได้เกิดจากแหล่งนอกประเทศในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วจะต้องเสียภาษีเงินได้ ในประเทศไทยก็ต่อเมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 2 ประการ ดังต่อไปนี้
(1) ผู้มีเงินได้เป็น ผู้อยู่ในประเทศไทย ในปีภาษีนั้นชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะเวลา รวมทั้งหมดถึง 180 วัน และ
(2) ผู้มีเงินได้ นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีนั้นด้วย


สรุป ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าไม่ต้องจด แต่ ถ้าใครจะเพื่อ ก็ทำประมาณที่ผมบอกไปครับ

ดีเลยครับ...
มีคนที่มีประสบการณ์ตรงมาบอก

เพราะปกติผมก็อ่านเอาจากสรรพากรหล่ะครับเพียงแต่
ภาษากฎหมายหลายๆครั้งอ่านแล้วงง งงว่าเราเข้าข่ายอันไหนกันแน่ๆ

ตอนแรกเข้าใจว่าต้องจด VAT เฉพาะนิติบุคคล
แต่พอคุณพัตเอาข้อมูลมาให้ดูก็โอเค บุคคลก็ต้องจด
เพียงแต่ผมยังงงๆ ว่าอาชีพของเราอยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นหรือเปล่าเท่านั้นเองครับ
พึ่งถามเพื่อนๆที่ทำงานด้านบัญชีไปเหมือนกัน แต่เค้ายังไม่ได้ตอบมา

แต่ถ้าคุณขุนพลมาบอกจากประสบการณ์ตรงก็คงเป็นไปตามนั้นครับ


งั้นวิธีที่ง่ายสุดคือ อย่าเอาเงินเข้าเกิน 1,800,000 เป็นพอ 5555
หรือไม่งั้นก็อยู่ในประเทศให้ไม่เกิน 180 เป็นพอ อิอิ

กรณีของคุณขุนพล อยู่ในข่าย "การส่งออกบริการ" แต่พลาดตรงที่ได้แจ้งรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี
แบบยื่นเข้าไปแล้วเหมือนยอมรับโดยดุษฎี อีกอย่างหลักฐานแสดงที่มาของรายได้ต่าง ๆ มีช้ดเจน โชคดีที่ว่าจัดอยู่ในประเภท "ส่งออกบริการ"
แต่กว่าจะได้ข้อสรุปก็อ่านประมวลรัษฎากรแทบหมดเล่ม บางเคส บางปัญหา เจ้าหน้าที่สรรพากรเองก็ยังไม่เคยเจอ ตีความกันไปคนละทางก็มี -_-"




(1) การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศและได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด
การให้บริการตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำใดๆ อันอาจหาประโยชน์อันมีมูลค่าซึ่งมิใช่เป็นการขายสินค้า


การขายภาพจัดอยู่ในประเภท "บริการ" เพราะภาพถ่ายนั้นยังคงเป็นลิขสิทธิ์ของเราอยู่ เมื่อมีการถ่ายภาพและส่งออกไปยังต่างประเทศทั้งหมดจึงจะเข้าข่าย "ส่งออกบริการ"
และเสียภาษีในอัตราร้อยละ 0 ถ้าไม่เ้ข้าเกณฑ์นี้ยังคงต้องเสียร้อยละ 7


*** ซึ่ง "ส่งออกผลของการให้บริการนั้นไปใช้ต่างประเทศทั้งหมด***
(ตรงนี้พัดยังมีข้อสงสัยส่วนตัวปลีกย่อยลงไปอีกต้องหารือกับสรรพากรอีกครั้ง---สำหรับคำว่า "ทั้งหมด" ในแนวทางและความเห็นของสรรพากร)
ได้ฝากให้พี่ถนอม (Taxbugnom) ช่วยพิจารณาและเขียนบทความเรื่องนี้โดยเฉพาะอยู่คงต้องรอซักพักใหญ่ ๆ จะได้ชัดเจนและเข้าใจง่ายกว่าที่พัดอธิบายค่ะ



กรณี รายได้เกิน 1.8 ล้าน/ปี
1.รายได้ใดที่ไม่เข้าข่าย "ส่งออกบริการ" ต้องเสีย 7%
2. รายได้ใดที่เข้าข่าย "ส่งออกบริการ" เสีย 0%


ดังนั้นอย่างที่คุณเอ๋อ๋อยว่าไว้ค่ะ "อย่าเอาเงินเข้าเกิน 1,800,000 ต่อปี" เป็นอันปลอดภัยจากภาษีมูลค่าเพิ่ม


เจตนาจริง ๆ และจุดประสงค์หลักของพัด อยากให้เพื่อน ๆ พี่น้องทุกคนเข้าใจเรื่องภาษีเพิ่มขึ้นจะได้ไม่เกิดปัญหาถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง
เสียทั้งเิงิน เสียเวลา เสียสุขภาพจิต หลาย ๆ คนเจอย้อนหลังเข้าไปหลักล้านถึงกับหงายตึงแทบเสียชีวิตก็มี เจอมาหลายเคสแล้วค่ะ


ถึงแม้จะมีรายได้จาก Stock ไม่ถึง 1,800,000
แต่ถ้าไปรวมกับรายได้อื่น ๆ ที่ทำมาค้าขายปกติแล้ว ปรากฎว่าเกิน 1,8000,000 ต่อปี
อย่างนี้ก็เข้าข่ายต้องจดภาษีมูลค่าเิ่พิ่มเหมือนกันนะคะ


ดังนั้นท่องไว้ ๆ ๆ อย่าเกินล้านแปด ๆ ๆ ๆ คาถาปลอดภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ

ข้อมูลแน่นมากครับ แหมจริง ๆผมเกิน 1,800,000 มาหน่อยเดียวเองนะ สรรพากรไม่หยวนกันบ้างเลย

ผมล่ะเข็ดเลย ได้ยินคำว่า สรรพากร เข้าหูเมื่อไหร่ ไมเกรนขึ้น

อีกอย่างบรรยากาศในสรรพากรนี่ รังสีอำมหิตมันเข้มข้นมากนะครับ

ท่องไว้ๆ ไม่เกิน ล้านแปด

อ้อแต่โชคดีอย่างนึงสำหรับคนที่แต่งงานแล้วนะครับ (หรือเปล่า)
ว่าเงิน 40(3) มันสามารถแยกยื่นกับ ภรรยาได้แล้ว
ถ้าเราเอาเงินเข้าชื่อภรรยา มันก็จะเป็นรายได้ภรรยา แล้ว ดังนั้นมันก็จะกระจายฐานรายได้ได้ล่ะ

ว่าแต่ ล้านแปด เนี่ยมันรวมสามี ภรรยาหรือเปล่าหว่า ??

ไปปล่อยไก่กระทู้ตั้งใหม่มา เอิ๊ก ๆ ๆ ๆ ด้วยความที่ไม่ยอมอ่านให้ดีเสียก่อน เลยไปตั้งกระทู้รกบอร์ดเพิ่มเลย

ตอบแทนคุณพัดละกันนะครับ "ไม่รวมครับ" เฉพาะของใครของมันครับ และถึงอยากรวมก็ไม่ได้ครับ

แล้วแยกยื่นได้ทุกหมวดเงินได้นะครับ ไม่ใช่แค่ 40(3)

ใช่ค่ะ ไม่นำรายได้ของสามีและภรรยาที่เกิดขึ้นในระหว่างปีภาษีมาเป็นฐานในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

เนื่องจากเป็นภาษีคนละประเภทกันค่ะ

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ เิงินได้พึงประเมิน 8 ประเภท 40(1) - 40(8) ---

ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ รายได้อันเกิดจากขายสินค้าและบริการ ที่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (จะอยู่ในข่ายยกเว้นหรือไม่ยังไงก็ว่ากันไปแต่และกรณี)



------------------------------------------------------------------------
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และรายละเอียดอื่น ๆ คุณเอ๋อ้อย เขียนไว้ได้ครบถ้วนสุด ๆ แล้วค่ะ คุณ suksao หาอ่านในกระทู้นี้ก็ครบครันแล้ว

มีประโยชน์มากมาย ขอบคุณครับ

เรียนคุณเอ๋อ้อย ตามความเห็นส่วนตัวของพัดนะคะ

ข้อ 1-2 เราในฐานะผู้ขาย "สิทธิ" ของภาพถ่ายให้กับนิติบุคคลที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย ถือว่าเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทย และการซื้อขายระหว่างกันเกิดขึ้นในประเทศ
ไม่ว่าบริษัทนั้นจะใช้ Server ที่ตั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ไม่ถือว่าเป็นการ "ส่งออกบริการ" ต้องเสียภาษี VAT 7% หากมีรายได้เกิน 1.2 ล้าน/ปี


ข้อ 3 อย่างที่บอกว่าข้อนี้พัดเองก็ยังมีข้อสงสัยอยู่หลายประเด็น เพราะ "การส่งออกบริการ" นั้นจะต้องส่งผลของบริการทั้งหมดไปต่างประเทศและ "ไม่นำกลับมาใช้ในประเทศไทยอีก"
จึงจะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตรา o% (ต้องจดทะเบียนเข้าระบบมูลค่าเพิ่ม แต่ชำระร้อยละ 0)

- พัดวิเคราะห์ตามประสบการณ์ที่เคยเจอ (เป็นสินค้าประเภทอื่นไม่ใช่ภาพถ่ายแต่คิดว่าสรรพกรใช้หลักการเดียวกันค่ะ)
- ข้อสงสัยจึงมีอยู่ว่า "หากมีลูกค้าในประเทศไทยดาวน์โหลดภาพของเรามาใช้ในประเทศ" ภาพนั้นก็ไม่ถือว่าเป็น "ส่งออกบริการ" แล้ว
- สรรพากรจะมีิวิธีตรวจสอบอย่างไรว่าแต่ละได้ถูกดาวน์โหลดจากประเทศไหนบ้าง (ถ้าไม่มีสนธิสัญญาระหว่างกัน ไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่าย)

แหม จะมานั่งจ้องแผนที่สุ่มตรวจ ตลอดวันหรือเปล่าเนี่ย ก็ขนาดร้านขายข้าวแกงท่านสรรพากรยังเคยไปยืนนับถุงวันสิ้นเดือน แล้วเอามาคำนวณเฉลี่ยว่าขายได้วันละกี่ถุง -_-"

จากที่เคยทำมา สรรพากรก็จะให้แยกรายได้ว่า รายได้ใดต้องเสีย 7% ก็ยื่นยอดรายได้นั้นคำนวณด้วยอัตราภาษี 7% / รายได้ใดที่ได้รับการยกเว้นให้เสีย 0% ก็ระบุไปว่าเท่าไหร่
พร้อมทั้งต้องมีเอกสารหลักฐาน การ รับ-จ่าย เงินให้ถูกต้องว่ารายได้ที่ได้รับยกเว้นนั้นเป็นการส่งออกบริการตามเงื่อนไขจริง


--------------------------------------------------------------------

เนื่องจากขณะนี้ ทางกรมสรรพากรและข้อกฎหมายก็ยังไม่มีการตีความชัดเจนในเรื่องนี้ Link ต่าง ๆ ที่เคยนำมาอ้างอิงก่อนหน้านี้จะเห็นว่าเป็นเพียง
"หนังสือหารือและแนววินิจฉัย" เป็นกรณี ๆ ไป เพราะบางกรณีกรมสรรพากรเองก็ไม่เคยทราบมาก่อนเช่นกัน

ตอนนี้สรรพากรเลยออกแนวประมาณว่า
- รายได้เกินหรือเปล่า ถ้าเกินก็ต้องจดทะเบียน VAT
- จดทะเบียนแล้วต้องเสีย 7% รายได้ส่วนไหนที่ต้องเสีย 7% ก็มีหน้าที่ออกใบกำกับภาษีขายให้ถูกต้อง
- ถ้ารายได้ใด คิดว่าได้สิทธิเสีย 0% ก็ต้องมีเอกสารหลักฐานให้ถูกต้องเหมือนกัน ว่ามีการติดต่อซื้อขาย มี INVOICE หรือ สัญญาว่าจ้างจากต่างประเทศหรือไม่

---------------------------------------------
ถ้าอธิบายสับสนขออภัยด้วยค่ะ จะไปสืบราชการไม่ลับมาเพิ่มเติมให้อีกครั้งนะคะ ^^
เพิ่งกลับจากงาน Seminar & Meeting ได้เจอไอดอลหลาย ๆ คน ทั้ง อ.สุระ / คุณเอก ศตปพันธ์ / คุณขุนพล
ถ้าได้เจอไอดอลอีกคน คือ คุณเอ๋อ้อย วันนี้คงได้เจอไอดอลในดวงใจครบทุกคนแน่ ๆ ^^